สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1110 ตอนพิเศษ (13-2)
บทที่ 1110 ตอนพิเศษ (13/2)
สิ้นคำ ลู่ฉาวจิ่งก็หยิบก้อนเงินออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เงินสิบตำลึงสุดท้ายมอบให้หลิวจิ่วจู๋ จากนั้นหลิวจิ่วจู๋ก็อ้างว่าบุรุษไม่อาจขาดเงิน นางจึงมอบก้อนเงินเล็ก ๆ นี้ให้เขา
จงซู่เกินเพียงแค่ซื่อ ไม่ได้โง่ ลู่ฉาวจิ่งแจกแจงชัดเจนเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องทำตาม
เขาพกเหรียญทองแดงติดตัวมาเพียงพอซื้อซาลาเปา เพียงแต่ก้อนเงินย่อยนี้ของลู่ฉาวจิ่งต้องนำไปแตก เขาจึงใช้ก้อนเงินนี้ซื้อข้าวของ
“เจ้าซื้อมากี่ลูก?” ลู่ฉาวจิ่งเห็นเขากลับมาก็เอ่ยถาม
“แปดลูก” จงซู่เกินเอ่ย “หากซื้อสี่ลูก พวกนางจะต้องไม่อยากกินอีกอย่างแน่นอน ข้าซื้อแปดลูก อย่างนี้จะได้กินคนละสองลูก”
เมื่อหยางชิงซือเห็นซาลาเปาแปดลูก สีหน้านางพลันมืดครึ้มลง
“ข้าให้เขาไปซื้อ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “จิ่วเอ๋อร์คงจะหิวแล้ว”
หยางชิงซือ “…”
เอาเถอะ!
เงินนี้ไม่อาจเก็บได้
“ข้ากินลูกเดียวพอแล้ว ที่เหลือพวกเจ้ากินเถอะ!” หยางชิงซือหยิบซาลาเปาไปหนึ่งลูก
“ข้าซื้อมาแปดลูก คนละสองลูก” จงซู่เกินเอ่ย “หากไม่อยากกิน ข้าจะเอาไปให้ขอทานที่พึ่งเห็นเมื่อครู่นี้ ข้าว่าเขาคงอยากกิน”
“เจ้าอยากตายหรือ! ขอทานผู้นั้นมีมือมีเท้ายังขอทานอยู่ที่นั่น ข้าเห็นในถ้วยเขามีเหรียญทองแดงตั้งหลายเหรียญ ต้องให้เจ้าสงสารที่ใดกัน? เอาละ ข้ากินก็จบแล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากขายยา หลิวจิ่วจู๋ได้เงินมาแปดร้อยอีแปะ หยางชิงซือได้เงินมาสามร้อยอีแปะ
ค่าที่พักในเมืองแพงมาก แม้กระทั่งห้องที่ถูกที่สุดยังห้องละร้อยอีแปะ แม่นางน้อยทั้งสองทำใจใช้จ่ายไม่ลงจึงหันไปมองลู่ฉาวจิ่ง
“ได้ยินว่ามีวัดร้างอยู่ไม่ไกล ขอทานเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่นั่น ห้องละหนึ่งร้อยอีแปะแพงเกินไป พวกเราอย่างน้อยก็ต้องใช้สองห้อง นั่นต้องใช้อย่างน้อย ๆ มากกว่าสองร้อยอีแปะเลยไม่ใช่หรือ? ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นห้องเดียวข้าก็ตัดใจจ่ายไม่ได้ นับประสาอะไรกับสองร้อยอีแปะ” หยางชิงซือเอ่ย “ไปอาศัยวัดร้างนอนก็ได้แล้ว”
“วัดร้างไม่ปลอดภัย” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เอาอย่างนี้ พวกเราไปลองถามดูว่ามีผู้ใดในละแวกนี้พอจะให้เราอยู่อาศัยได้หรือไม่เถอะ หากมี พวกเราก็จ่ายเงินสักหน่อย”
ขอเพียงมีเงิน อยากจะหาที่พักยังคงเป็นเรื่องง่ายดาย คนในท้องที่ไม่น้อยยินดีที่จะให้ที่พักแก่คนนอก โดยมีเงื่อนไขคือต้องต่อรองราคากันด้วยดีและอีกฝ่ายดูไร้พิษภัย
กลุ่มของลู่ฉาวจิ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงแม่นางน้อยทั้งสอง พวกนางล้วนดูเหมือนมาจากครอบครัวสุภาพชน จงซู่เกินหน้าตาซื่อ ๆ ลู่ฉาวจิ่งพูดจาสุภาพ ไม่เหมือนคนเลวร้ายแม้แต่น้อย ไม่ช้าพวกเขาก็พบผู้เฒ่าสองคนที่เต็มใจจะแบ่งที่พักให้
บ้านของผู้เฒ่าทั้งสองค่อนข้างเก่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในห้องที่พวกเขาเข้าพักนานแล้ว ผู้เฒ่าจึงคิดเงินพวกเขาเพียงสิบอีแปะต่อห้อง รวมทั้งหมดเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้น
หยางชิงซือเป็นคนขยัน ขอเพียงราคาเหมาะสม ห้องจะรกหรือสกปรกหน่อยก็ไม่เป็นไร นางทำความสะอาดเองได้
ด้วยเหตุนี้ ก่อนฟ้ามืด หยางชิงซือจึงลากหลิวจิ่วจู๋ไปช่วยกันทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว ผู้ไม่รู้ยังจะคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของนางเองถึงได้ใส่ใจเพียงนี้
“เหนื่อยเหลือเกิน” หยางชิงซือนั่งแหมะลง “ข้าจะค่อย ๆ ทำ”
จงซู่เกินตักน้ำมาให้ “เจ้าดื่มน้ำหน่อยเถอะ”
“โชคดีที่ตอนนี้ไม่จำกัดเวลาออกนอกเรือนแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าฟ้ามืดคงทำได้เพียงอยู่แต่ในห้อง ออกไปที่ใดไม่ได้ คงน่าเบื่อยิ่งนัก” หยางชิงซือตบแขนเบา ๆ “พวกเราออกไปเที่ยวเล่นกันเถอะ!”
ในอาณาจักรฮุ่ยไม่มีการจำกัดเวลาออกนอกบ้าน ตลาดนัดกลางคืนจึงคึกคักไปทุกหนทุกแห่ง
ทั้งสี่คนเดินไปตามท้องถนน ชมนักแสดงปาหี่ทำการแสดงหลากหลายแบบ ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้องเมื่อครู่หายวับไปแล้ว
“โรงน้ำชาทางนั้นปิดแล้ว ไม่มีนักเล่าเรื่อง” หลิวจิ่วจู๋เอ่ยอย่างผิดหวัง
“หากพวกเจ้าชอบฟังเรื่องราวของพระชายาลู่ วันหลังข้าเล่าให้พวกเจ้าฟังได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาบ้าง” เทียบกับนักเล่าเรื่องข้างนอกแล้ว เขายังรู้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ดวงตาสองคู่จับจ้องมาที่เขา
“มีอะไรหรือ?” ลู่ฉาวจิ่งหัวเราะออกมา
“เจ้ารู้เรื่องของพระชายาลู่จริง ๆ หรือ?”
“แน่นอน พวกเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าในอาณาจักรฮุ่ย แม้กระทั่งเด็กสามขวบยังรู้จักนาง ข้าจะไม่รู้จักนางได้อย่างไร?” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ข้าไม่เพียงรู้จักนางเท่านั้น แต่ยังรู้วีรกรรมทั้งหมดของนางอีกด้วย”
“ประหยัดเงินแล้ว” หยางชิงซือดึงแขนหลิวจิ่วจู๋มา “ไปเถอะ เช่นนั้นเราไปเดินเล่นกัน ที่บ้านมีนักเล่าเรื่องแล้ว ภายหน้าพวกเราค่อย ๆ ฟังเรื่องเล่า อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าน้ำชาด้วย”
หลิวจิ่วจู๋พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ลู่ฉาวจิ่งรีบตามผีเสื้อน้อยทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว
“คนเยอะเกินไป พี่ใหญ่จง พวกเราตามไปติด ๆ หน่อยเถอะ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย
“ได้”
ผู้มาเยือนตลาดนัดกลางคืนมีมากเกินไป ไม่นานนัก ทั้งสองก็พลัดหลงไปแล้ว
บุรุษตัวโตสองคนมองหน้ากันด้วยสายตาอับจนปัญญา
ทว่าไม่อาจโทษแม่นางทั้งสองได้ ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ ๆ จะมีนักแสดงปาหี่กลุ่มหนึ่งโผล่มาทำให้พวกเขาแยกจากกัน
“แยกย้ายกันตามหาเถอะ!”
“ได้”
หลิวจิ่วจู๋และหยางชิงซือเดินไปครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นชายทั้งสองคนจึงหยุดฝีเท้าลงรอพวกเขา
“เหตุใดยังไม่มาอีกเล่า?”
“นั่นน่ะซี เดินชักช้าจริงเชียว”
“นี่ แม่นางทั้งสอง พวกเจ้ารอเราอยู่ใช่หรือไม่?” ชายขี้เมาหลายคนขวางทางสตรีทั้งสองเอาไว้
“ใช่แล้ว รอพวกเราอยู่หรือ? เช่นนั้น พวกเราหาที่ดื่มสุราสักแห่งเถิด! หากมีคนงามทั้งสองอยู่ดื่มสุรากับเรา เช่นนั้นสุราจะต้องรสเลิศขึ้นอย่างแน่นอน พวกเจ้าว่าถูกหรือไม่?”
ชายผู้หนึ่งใช้พัดเชยคางหยางชิงซือขึ้น
หยางชิงซือหน้าตาเกลี้ยงเกลาจิ้มลิ้ม รูปร่างสูงเพรียว ไม่เหมือนกับหลิวจิ่วจู๋ที่เป็นสาวงามในท้องที่
นางดุร้ายมาแต่ไหนแต่ไร การถูกบุรุษแทะโลมเช่นนี้ สำหรับนางแล้วเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง นางปัดพัดของบุรุษผู้นั้นออกทันที ทั้งยังเอ่ยด้วยสายตาเฉียบคม “พวกเราไม่รู้จักพวกเจ้า โปรดอยู่ห่าง ๆ จากเรา ไม่เช่นนั้นหากสามีพวกเรามา พวกท่านคงทำได้เพียงคลานกลับไป”
“โอ้ สามี? ดูจากท่าทีพวกเจ้าแล้ว เหมือนจะเป็นดอกไม้ตูม คงยังเป็นหญิงบริสุทธิ์กระมัง? สามีที่พวกเจ้ากล่าวถึงไม่ใช่พวกเราหรือ? ฮ่า ๆ ๆ…”
“หากให้เราคลานบนตัวพวกเจ้า พวกเราย่อมยินดีคลานเป็นอย่างยิ่ง แม่นางน้อยคนงามทั้งสอง หน้าตาสะสวยจริง ๆ หากรับกลับไปเป็นอนุคงไม่เลวทีเดียว”
บัณฑิตขี้เมาสองสามคนนั้นพูดจาไม่เข้าหูออกมา
หยางชิงซือบังหลิวจิ่วจู๋ไว้ข้างหลัง
หลิวจิ่วจู๋พลันร้องตะโกนไปทางอีกฝั่ง “สามี พวกเราอยู่ทางนี้”
เมื่อชายหลายคนนั้นหันกลับไปมอง หลิวจิ่วจู๋ก็ดึงหยางชิงซือออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ถูกหลอกแล้ว แม่นางน้อยเหล่านี้น่าสนใจจริง ๆ พวกเราตามไปเถอะ”
“ตาม ต้องไล่ตาม”
หยางชิงซือและหลิวจิ่วจู๋วิ่งไปด้วยกัน
“จู๋จือ พวกเราแยกกันเถอะ” หยางชิงซือเอ่ยขึ้น “เจ้าวิ่งไปทางที่มีคนพลุกพล่าน ข้าจะวิ่งไปอีกทาง หากวิ่งไม่ไหวก็หาที่ซ่อนตัวเสีย”
“ไม่ ข้าจะไม่แยกจากเจ้า” หลิวจิ่วจู๋รู้จักหยางชิงซือดีเกินไป ย่อมรู้ว่านางคิดจะทำอะไร
ตั้งแต่เล็กจนโต หยางชิงซือคอยปกป้องนางอยู่เสมอ ตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางถูกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านรังแกก็เป็นหยางชิงซือที่คอยปกป้อง บัดนี้เติบใหญ่แล้ว หลิวจิ่วจู๋ย่อมไม่ถูกหลอกอีกต่อไป
0
•