สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1118 ตอนพิเศษ (20)
บทที่ 1118 ตอนพิเศษ (20)
“จู๋จือ อิงฮวาเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางชิงซือเอ่ยถามหลิวจิ่วจู๋
หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “วางใจเถอะ เมื่อครู่ข้าดูแล้ว หลับสบายเชียวละ ร่างกายแข็งแรงไม่เลว”
“เช่นนั้นก็ดี” หยางชิงซือเอ่ย “พี่สะใภ้ ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! ข้ากับท่านพี่จะดูแลทางนี้เอง”
หลิวจิ่วจู๋รั้งอยู่คอยช่วยเหลือ
หยางชิงซือขอให้นางกลับไป บอกว่าที่นี่มีนางกับพี่ชายสองคนก็เพียงพอแล้ว
นางรู้ดีว่าหมู่นี้หลิวจิ่วจู๋ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการทำยาอมอะไรนั่นไม่น้อยจึงไม่อยากให้สหายคนดีของนางต้องเสียเวลา
แน่นอนว่าหลิวจิ่วจู๋ไม่ยินยอมจึงรั้งอยู่ช่วยเหลือด้วยกันกับลู่ฉาวจิ่ง
“พี่ใหญ่ลู่ ที่บ้านท่านทำอะไรหรือ?” หยางชิงซือเห็นลู่ฉาวจิ่งกำลังทำเล้าไก่ แววตาเต็มไปด้วยความฉงน
ลู่ฉาวจิ่งมองเล้าไก่ตรงหน้า สมองพลันเกิดภาพชิ้นงานอันประณีตที่มารดาของเขาทำขึ้นมา จู่ ๆ ก็รู้สึกอับอาย
เขาได้เห็นกับตาได้ยินกับหูมาตั้งแต่เด็ก ช่างที่พบเห็นล้วนเป็นช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ ดังนั้นรายละเอียดมากมายจึงสลักลึกอยู่ในกระดูก นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ไม่เคยสนใจ วันหนึ่งจะกลายมาเป็นงานฝีมือได้จริง ๆ
“จู๋จือ อิงฮวาร้องไห้แล้ว มือข้ามีแต่ฝุ่น เจ้าไปช่วยข้าอุ้มที” หยางชิงซือที่มือถือไม้ปัดฝุ่นขนไก่เอ่ยขึ้นมา
“ได้”
พี่สะใภ้กำลังอยู่ในห้องสุขา ยามนี้ย่อมไม่อาจละมือมาได้
หลิวจิ่วจู๋เคยอุ้มเด็กมาหลายคน ค่อนข้างมีประสบการณ์ทีเดียว นางอุ้มอิงฮวาไว้แล้วกล่อมเบา ๆ เมื่อลู่ฉาวจิ่งเดินมาหา นางก็ยื่นเด็กให้เขามองแล้วกล่าว “เจ้าดูนางสิ หน้าตาน่ารักน่าชังเชียว”
ลู่ฉาวจิ่งมองดูแวบหนึ่งจึงเห็นอิงฮวากำลังพ่นน้ำลายฟู่ ๆ พอดี ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความสงสัย บริสุทธิ์ไร้เดียงสา นัยน์ตาใสกระจ่างราวกับน้ำทิพย์
เขาหยักยิ้มขึ้นมา “น่ารักจริง ๆ”
หลิวจิ่วจู๋จ้องมองลู่ฉาวจิ่งด้วยแววตาว่างเปล่า
“แค่ก…” หยางชิงซือกระแอมไอฝืด ๆ “เจ้าควบคุมตนเองหน่อยเถิด! พวกเรายังอยู่ที่นี่นะ! สามีของเจ้าน่ะ หลังประตูห้องหับปิดสนิทจะดูอย่างไรก็ย่อมได้”
พี่สะใภ้หยางกลับมาพอดีจึงรับลูกไปจากอ้อมแขนของหลิวจิ่วจู๋พร้อมเอ่ยกับหยางชิงซือ “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ตนเองยังไม่ได้ออกเรือน พูดจาไม่รู้จักเหนียมอายเอาเสียเลย”
ทางฝั่งพี่สะใภ้หยางเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ทว่าทางซ่งซื่อกับหยางฟู่กลับถูกทิ้งให้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
เมื่อก่อนที่บ้านมีคนหลายคน ถึงแม้ไม่ได้พูดจาแต่ทุกคนอยู่ใต้ชายคาเดียวกันย่อมรู้สึกมีชีวิตชีวา ตอนนั้นซ่งซื่อบ่นว่าบ้านเล็กเกินไป เดินไปที่ใดก็ชนคน บัดนี้ดียิ่ง บ้านที่แต่เดิมแออัดพลันโหวงเหวง สองสามีภรรยาเฒ่าล้วนไร้คำพูด
“เมื่อเห็นโจ๊กก็ชวนให้คิดถึงคนขึ้นมา” หยางฟู่พึมพำ
“ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน” ซ่งซื่อเอ่ย “ทางนั้นได้กินดี ท่านก็ตามไปเสียสิ! อย่างไรบ้านนี้ก็รับรองพวกท่านไม่ได้”
หยางฟู่ก้มหน้าลงมองโจ๊ก
“พี่สะใภ้ซ่ง พี่สะใภ้ซ่ง เกิดเรื่องแล้ว…” เสียงของหลี่ซื่อข้างบ้านดังมาจากด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งซื่อเดินออกไป
“หญิงปากร้ายสกุลจงผู้นั้นไปสร้างปัญหาให้ลูกสาวบ้านท่านแล้ว” หลี่ซื่อกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้ารองสกุลจงหายไป พี่สะใภ้จงถือมีดไปที่บ้านลูกชายกับลูกสะใภ้ท่านแล้ว”
“นังหัวขโมยหน้าด้านนั่น คิดว่าบ้านข้าไม่มีคนใช่หรือไม่?” ซ่งซื่อได้ยินดังนั้นก็รีบบึ่งไปที่บ้านของหยางชวนโดยไม่แม้แต่ปิดประตูบ้านตนเองด้วยซ้ำ
กลิ่นหอมหวานอบอวลอยู่ในอากาศ
ตอนนี้ได้เลยเวลามื้อเย็นไปแล้ว ทว่าควันจากบ้านหลิวจิ่วจู๋กลับยังลอยฟุ้งอยู่อย่างนั้น
ลู่ฉาวจิ่งกำลังจัดการไม้ไผ่ที่ตัดกลับมา
“จู๋จือ ที่บ้านชิงซือเกิดเรื่องแล้ว” เสียงชาวบ้านตะโกนมาจากข้างนอก
“มีอะไรหรือ?” หลิวจิ่วจู๋เดินออกไปถาม
“ปัดโธ่ เรื่องนี้ไม่อาจอธิบายได้เพียงคำสองคำ เจ้าไปดูก็จะรู้เอง”
หลิวจิ่วจู๋รีบดับไฟโดยเร็ว
ยาอมชุดนี้ต้มเสร็จแล้ว เหลือเพียงขึ้นรูปเป็นขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ยามนี้นางไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพียงแค่อยากไปดูว่าหยางชิงซือเป็นอย่างไรบ้าง
ณ บ้านหยางชวน หยางชิงซือขวางประตูเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองสตรีรูปร่างอ้วนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ของจงซู่เกิน
“ท่านป้าจง ข้าขอเอ่ยอีกครั้ง จงซู่เกินไม่ได้อยู่กับเรา”
“ลูกชายของข้าประกาศลั่นว่าจะแต่งกับเจ้า ข้าไม่เห็นด้วย เขาจึงหายตัวไป หากไม่ใช่เพราะการยุยงของเจ้า เขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเพียงนั้นย่อมไม่มีทางต่อต้านข้า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ที่นี่ เจ้าก็คงรู้ว่าเขาไปที่ใดกระมัง?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปที่ใด”
“ปกติแล้วเขากระตือรือร้นที่จะติดตามเจ้าแม้กระทั่งตอนไปส้วม ตอนนี้เพื่อเจ้าแล้วแม้กระทั่งแม่แท้ ๆ ของตนก็จำไม่ได้ เจ้ากล้าพูดหรือว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
“ท่านป้าจง หากท่านอยากหาลูกชายคนรองของท่านก็ไปหาที่อื่นเถอะ หลานสาวข้ายังเล็ก ตกใจง่าย เสียงของท่านดังเพียงนี้ หากทำให้นางตื่นตระหนกขึ้นมา ข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้ว”
“ดีนี่ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะไม่เกรงใจข้าได้อย่างไร” ป้าจงเท้าสะเอวมองนางด้วยความฉุนเฉียว “มาสิ ลงมือสิ ตีข้าเลย ลูกข้าเอาแต่ขลุกอยู่กับเจ้าทั้งวัน วันนี้ข้าจะสู้กับเจ้าให้รู้ดำรู้แดงไปเลย”
“ท่านป้าจง ลูกชายท่านไม่ได้อยู่ที่นี่กับพวกเราจริง ๆ” หยางชวนเดินออกมาจากบ้าน
เมื่อครู่เขากำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน เมื่อได้ยินเสียงของป้าจงก็รีบสวมใส่เสื้อผ้า ดังนั้นเส้นผมจึงยังเปียกชื้น อีกทั้งเสื้อผ้าบนตัวก็เปียกชุ่ม
พี่สะใภ้หยางกำลังกล่อมลูกอยู่ข้างใน
นางก็คิดจะอุ้มลูกออกมาดู เพียงแต่เมื่อครู่นี้หยางชิงซือบอกให้นางรออยู่ข้างใน ด้วยกลัวว่าทารกน้อยจะตกใจ
พอได้ยินว่าหยางชวนออกไปแล้ว พี่สะใภ้หยางก็โล่งอกขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าอย่างไร หากป้าจงกล้าลงมือกับหยางชิงซือ นางก็มีหยางชวนผู้เป็นพี่ชายคอยปกป้อง ป้าจงเองก็ต้องดูด้วยว่าตนเป็นคู่ต่อกรของหยางชวนได้หรือไม่
ป้าจงไม่เชื่อคำพูดของหยางชิงซือ นางคิดว่าหยางชิงซือซ่อนจงซู่เกินเอาไว้
“ท่านอาจง ท่านอย่าได้เอะอะวุ่นวายเลย พี่ซู่เกินไปเข้าร่วมกองทัพแล้ว” ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับจงซู่เกินเอ่ยขึ้นมา
นางจงจ้องมองเขาด้วยแววตาดุร้าย “เจ้ากล่าวอะไร?”
“พี่ซู่เกินบอกว่าท่านไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเขากับหยางชิงซือ แทนที่จะรออยู่ที่บ้านให้ท่านจัดแจงเรื่องแต่งงาน ยังไม่สู้ไปเป็นทหาร ไม่แน่ว่าอาจมีอนาคตที่ดีกว่า หากเขามีอนาคตแล้ว ย่อมตัดสินใจเองได้ กล่าวคือ พี่ซู่เกินชอบพอหยางชิงซือจริง ๆ หากท่านยังบีบเขาเช่นนี้ เขาอาจไม่กลับมาอีกเลย หากท่านไม่อยากเสียลูกไป ตอนนี้ก็อย่าได้วุ่นวาย รออีกสักพักเถอะ เมื่อพี่ซู่เกินกลับมา ท่านค่อยลองโน้มน้าวเขา เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้ว”
“จู่ ๆ เหตุใดเขาถึงคิดจะไปเป็นทหาร?” ป้าจงมองด้วยสายตาไม่เชื่อ “เจ้าเด็กคนนั้นซ่อนตัวอยู่ใช่หรือไม่? เจ้าบอกข้ามาเถอะว่าเขาอยู่ที่ใด แล้วข้าจะมอบไข่สักฟองตอบแทนเจ้า ดีหรือไม่?”
“ท่านอา นี่เป็นความจริง คำนวณจากเวลา ตอนนี้เขาคงลงทะเบียนอยู่ในเมืองแล้ว”
หยางชิงซือนึกถึงข่าวที่ได้ยินในเมืองจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าไปในเมือง ได้ยินว่ามีรับสมัครทหาร อีกทั้งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกยังจะได้เบี้ยเลี้ยงเดือนละสามตำลึงเงินทุกเดือน”
“สามตำลึงเงินหรือ?!” มีคนอุทานขึ้น “เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่? เหตุใดเรื่องดี ๆ เช่นนี้ พวกเจ้าไม่เล่าให้ข้าฟังก่อนหน้านี้เล่า?”
“ตอนนี้ไม่มีสงคราม คงมีเพียงคนไม่กี่คนที่ยินดีเป็นทหารกระมัง?” หยางชิงซือเอ่ย
“เป็นเพราะไม่มีสงคราม ดังนั้นเงินนี้จึงหามาได้ง่าย! เพียงแค่ต้องฝึกทหารเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเราก็จะได้รับสามตำลึงเงินทุกเดือนแล้ว นี่เป็นเรื่องดี! พวกเราพรวนดินทำไร่ไถนา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใดก็หาเงินไม่ได้ถึงสามตำลึง”
“ใช่ ๆ นึกไม่ถึงว่าจงซู่เกินที่ปกติดูซื่อตรงจิตใจดี ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะฉลาดเพียงนี้”