สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 112 บ้านหลังนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าบ้าน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 112 บ้านหลังนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าบ้าน
บทที่ 112 บ้านหลังนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าบ้าน
บทที่ 112 บ้านหลังนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าบ้าน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ถงซื่อก็เหลือบมองลู่อี้ด้วยความห่วงใย “ลูกเอ๋ย เจ้าใช้วาจาให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ?”
หากเป็นชายอื่นที่ได้พบหญิงใช้วาจา ‘อวดดี’ เช่นนี้ พวกเขาคงโกรธจัดจนพังโต๊ะและทุบข้าวของเสียหายไปแล้ว
ลู่อี้เพียงถอนมือออกแล้วช่วยเก็บจานชามที่เหลือ “เป็นเพราะข้าเองที่ไม่คิดให้รอบคอบ”
อันที่จริงอุณหภูมิของหม้อนั้นไม่ถือว่าร้อนสำหรับเขา แต่เป็นเพราะความห่วงใยที่นางมีให้ เขาจึงยอมปล่อยมือ
ถงซื่อไม่อาจเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ได้ จึงทำได้เพียงช่วยจัดการส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย
หลังจากทำความสะอาดโต๊ะอาหารแล้ว ถงซื่อและมู่เจิ้งหานก็ยกโต๊ะกลับเข้าไปเก็บในห้องครัว
“ไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง หากต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะบอกเอง”
มู่ซืออวี่ตะโกนบอกลู่อี้ที่กำลังจะจากไป “บอกให้ทุกคนนั่งรอที่ลานบ้านก่อน ข้าจะทำชาให้ดื่ม ล้างไขมันเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง ลู่อี้ก็ตอบรับก่อนจะทำตามอย่างเชื่อฟัง
มู่ซืออวี่เดินออกมาจากห้องครัว ลู่อี้ก็ยื่นผ้าขนหนูให้นาง “เช็ดมือเสีย”
นางรับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ”
ทุกคนในครอบครัวรวมกันอยู่ที่นี่
มู่ซืออวี่นำน้ำชาและบ๊วยแผ่นที่ช่วยย่อยอาหารออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าทำบ๊วยแผ่นขึ้นมาเอง ลองชิมดูเถิด ช่วยย่อยอาหารได้”
“อร่อยมากเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย นางสวมเสื้อคลุมบุนวมที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่น ดูเหมาะกับนางไม่น้อย
มู่ซืออวี่ลูบศีรษะลู่จื่ออวิ๋นพลางจ้องมองผู้คนที่กำลังดื่มชา
“ข้ามีสองเรื่องจะบอกทุกคน เรื่องแรก ข้าขายสูตรหมูตุ๋นให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน เสนอแนะให้เขารวบรวมผู้คนทั้งหมู่บ้านมาร่วมกันทำกิจการนี้ พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าเชื่อว่าทุกคนคาดเดาเหตุผลของเรื่องนี้ได้ ใช่แล้ว เพราะภัตตาคารเจียงซื่อเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรม และภัตตาคารหมายเลขหนึ่งก็ก่อกวนพวกเขาอย่างไม่ลดละ”
“หัวหน้าหมู่บ้านมอบเงินให้ข้าหนึ่งร้อยตำลึง ถือเป็นการซื้อขาดสูตรนี้โดยสมบูรณ์ ด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ ข้าวางแผนไว้สองอย่าง หนึ่งคือส่งฉาวอวี่และหานเอ๋อร์ให้เล่าเรียนในสำนักศึกษา การส่งพวกเขาไปเรียนก็เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสภาพสังคม สองคือเราจะนำเงินที่เหลือมาต่อเติมบ้าน ข้าถามหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เขาบอกว่าที่ดินเปล่าข้างบ้านเรายังว่างอยู่ หากเราจ่ายเงินเพียง 20 ตำลึงก็จะสามารถขยายบ้านกับลานให้ใหญ่และกว้างขึ้นได้”
ในฐานะคนสมัยใหม่ สิ่งที่นางได้เห็นเป็นประจำทุกวันเมื่อตื่นนอนไม่ใช่กำแพงสีขาว แต่เป็นแมงมุมที่ไต่มาทักทายให้รู้จัก มีเพียงทวยเทพเท่านั้นที่รู้ดีว่านางต้องพยายามข่มความกลัวไว้มากเพียงใด สิ่งเดียวที่นางทำได้คือต้องคุ้นชินกับมัน
หากนางได้มีโอกาสกลับไปยังยุคของตน นางจะไม่หวงแหนเงินเหล่านี้ไว้ในมืออย่างแน่นอน
นางอิจฉาเพื่อนร่วมยุคสมัยที่ได้ย้อนกลับมาอยู่บ้านหลังใหญ่โตในเมืองหลวง ไม่ต้องทำมาหากินก็สุขสบาย ผิดกับนางที่ยากจนมาก ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินสร้างบ้านในชนบท
ลู่เซวียนจ้องมองลู่อี้ “เงินเป็นสิ่งที่ท่านหามา ท่านจะใช้มันอย่างไรก็ได้ ผู้น้อยเช่นข้าไม่อาจพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร”
ถงซื่อกล่าวอย่างประหม่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้ารู้ว่าหานเอ๋อร์สร้างปัญหาให้กับทุกคน ข้าจะรับจ้างเย็บปักถักร้อยให้มากขึ้น จะได้หาเงินมาคืนพวกเจ้าให้เร็วที่สุด”
“พี่เขย ข้าเป็นหนี้ท่านและพี่สาว หากในอนาคตข้าหาเงินได้ ข้าจะคืนเงินให้ท่านพร้อมดอกเบี้ยอย่างแน่นอน” มู่เจิ้งหานจ้องมองลู่อี้อย่างแน่วแน่
ลู่อี้ตบไหล่มู่เจิ้งหาน “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
“ไม่คิดคัดค้านหรือ?”
มู่ซืออวี่ได้เตรียมการและวางแผนจากการพิจารณาของลู่อี้แล้วว่า หากเขาคัดค้าน นางก็จะคิดหาวิธีอื่นเพื่อให้เจิ้งหานได้เรียนหนังสือ เพราะนางรู้สึกสงสารน้องชายของนาง
“เป็นเรื่องดีที่จะได้ศึกษาหาความรู้ เหตุใดข้าจึงต้องคัดค้าน? ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าเป็นเจ้าบ้านและหัวหน้าครอบครัว มีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกสิ่ง”
มู่ซืออวี่จ้องมองลู่อี้ด้วยรอยยิ้ม แววตาฉายความขอบคุณ
ลู่อี้หลบสายตานาง
เขากระแอมพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปอาบน้ำ พวกเจ้าดื่มชากันต่อเถิด”
“เดี๋ยวก่อน” มู่ซืออวี่หยิบบ๊วยแผ่นหนึ่งชิ้นขึ้นมาแล้วยัดใส่ปากเขา “เจ้าเชื่อฟังเป็นอย่างดี นี่คือรางวัล อ้า…”
ถงซื่อเบิกตากว้าง “…”
ลู่เซวียนกล่าวเย้ยหยัน “พี่ชายของข้าไม่กิน…”
ยังไม่ทันพูดจบ ลู่อี้ก็อ้าปากรับบ๊วยแผ่นทันที
“พี่ชายของเจ้าไม่กินอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ลู่เซวียนกระแอมสองครั้ง “ไม่มีอะไร”
พี่ชายของเขาไม่เคยกินบ๊วยแผ่น สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือบ๊วยแผ่น ไฉนตอนนี้ถึงกินได้ขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของเขา
ซ่า…
ลู่อี้ตักน้ำขึ้นจากถัง ราดร่างกายของตนเพื่อชำระล้าง
น้ำเย็นทำให้อุณหภูมิร่างกายของเขาลดลง แต่เมื่อภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในจิตใจ อุณหภูมิร่างกายของเขาก็สูงขึ้นอีกครั้ง
เขาขมวดคิ้ว จ้องมองถังน้ำอีกถังที่อยู่ด้านข้าง
โชคดีที่วันนี้เตรียมน้ำไว้สองถัง
เกิดอะไรขึ้นกับเขา?
หลายปีแล้วที่เขาไม่มีความคิดเช่นนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้เขามักจะนึกถึงสิ่งนี้ อีกทั้งยังกระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น
อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ออกล่านานเกินไป และไม่ได้ใช้พละกำลังอย่างเต็มที่
มู่ซืออวี่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองลู่อี้ซึ่งกำลังฝึกชกกลางลานบ้านพลางพึมพำกับตนเอง “เหตุใดเขาถึงซ้อมศิลปะการต่อสู้ อยากเป็นทหารหรือ?”
ลู่อี้ต่อยมวยจนเหงื่อท่วม จากนั้นก็ยกถังน้ำสองถังเข้าไปในห้องน้ำ
เขากลับมาห้องนอนด้วยความสดชื่นและอารมณ์ดี มู่ซืออวี่ยังคงไม่หลับใหล นางนั่งตรงนั้นพลางจ้องมองเขาด้วยแววตาสดใส
เขาชำระร่างกายจนสะอาดหมดจด…
นางลืมสังเกตว่ากลิ่นกายของเขาราวกับหญิงสาว กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยโชยมาตามอากาศ
“เหตุใดถึงยังไม่นอน?”
“คอยเจ้า”
ลู่อี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนเตียง เขาถอดรองเท้า จากนั้นจึงหันหลังให้กับนางพลางเอ่ยถาม “มีสิ่งใดอีกหรือ?”
“ข้าอยากปรึกษาเรื่องสร้างบ้านกับเจ้า ดูเถิด อากาศในช่วงนี้กำลังพอดี อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วง หากอากาศเย็นลง อาจเกิดฝนตกได้ เมื่อถึงเวลานั้นจะทำสิ่งใดไม่สะดวก”
“อืม”
“ข้าเลยอยากต่อเติมบ้าน สร้างให้เสร็จโดยเร็ว ทุกคนจะได้สะดวกสบายขึ้นในฤดูหนาว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
ลู่อี้เอนกายลงนอนพร้อมหันหน้าเข้าหามู่ซืออวี่
เตียงไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเวลานอนคนเดียว แต่หลังจากที่มีเขาร่วมเตียง ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจ
“เอาล่ะ เรานอนคุยกันดีหรือไม่?”
นางรู้สึกสับสนทันทีที่ได้ยินดังนั้น
โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ราวกับมองทะลุทะลวงทุกสิ่ง ทำให้นางรู้สึกประหม่าราวกับกำลังจะคุยกิจการกับเถ้าแก่ใหญ่
ลู่อี้เอนกายลง
มู่ซืออวี่เอนกายลงเคียงข้างเขาอย่างเชื่องช้าพร้อมห่มผ้าผืนบาง
“อวิ๋นเอ๋อร์ ลู่เซวียน และฉาวอวี่พักอยู่ในห้องเดียวกัน เราสองคน…” มู่ซืออวี่ลังเล “เราแยกห้องนอนกันดีหรือไม่?”
ลู่อี้หลับตาลง แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ เขาก็ลืมตาขึ้นทันที “เจ้าคิดว่าหากผู้อื่นล่วงรู้จะว่าอย่างไร?”
“คำพูดของผู้อื่นสำคัญอย่างไรหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น”
“พวกเขาก็จะบอกว่าเราสองสามีภรรยาหมางเมินกัน อวิ๋นเอ๋อร์กับฉาวอวี่ก็จะรู้สึกแบบเดียวกัน ลูกทั้งสองยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรหลายอย่าง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับเรา?” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
“…” เขาพูดเหมือนเราเป็นคู่รักที่กำลังจะหย่าร้าง ต้องพิจารณาถึงหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อลูก ๆ เสียอย่างนั้น
“แต่…” มู่ซืออวี่จ้องมองลู่อี้ “เจ้าไม่รู้สึกอึดอัดหรือ?”
“ไม่อึดอัด” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าเป็นภรรยาของข้า เหตุใดข้าจึงต้องแยกห้องนอนกับเจ้า?”
มู่ซืออวี่กำผ้าห่มผืนบางไว้แน่นพลางจ้องมองลู่อี้โดยไม่ละสายตา
แท้จริงแล้วเขาไม่อยากแยกห้องนอนเพราะเห็นแก่ลูกอย่างนั้นหรือ?
หากเขาคิดแบบนั้นจริงก็นับว่าเป็นพ่อที่ดี
อันที่จริงไม่ว่าพวกเขาจะนอนร่วมห้องกันหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหา หากมีบ้านที่ใหญ่โตขึ้น เตียงนอนก็ย่อมใหญ่โตขึ้นด้วย นับประสาอะไรกับคนเพียงสองคน แม้สี่คนก็นอนร่วมกันได้ มีพื้นที่เหลือเฟือให้เคลื่อนไหวอย่างสบายตัว
ใช่แล้ว ดูท่าว่าเตียงคงต้องใหญ่ขึ้น