สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1124 ตอนพิเศษ (26)
บทที่ 1124 ตอนพิเศษ (26)
บนเขา แต่ละคนล้วนมือเปล่า เหงื่อไหลออกมาไม่หยุดขณะที่ขนย้ายหินเหล่านั้น
ลู่ฉาวจิ่งมองดูผู้คนเบื้องหน้า
ทั้งหมดมีจำนวนราว ๆ ร้อยกว่าคน
คนร้อยกว่าคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อขุดหินและลำเลียงออกไป ส่วนส่งไปที่ใดนั้น เขาไม่รู้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงขุดหินเท่านั้น
“ยืนทำอะไรอยู่? เร่งมือเข้าสิ!”
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่ได้มาเข้าร่วมกองทัพหรือ? เหตุใดต้องทำเรื่องเหล่านี้เล่า? นี่เป็นแผนการฝึกหรือ?”
“เจ้าเพียงแค่ต้องทำ หากไม่ขนหินแล้วจะทำอะไร? ขอเพียงได้เงิน เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ”
“เช่นนั้นคนอื่น ๆ…”
“ถามอะไรให้มากความ?” สิ้นคำ คนผู้นั้นก็มองลู่ฉาวจิ่งด้วยท่าทีระแวดระวัง “เจ้าไม่ใช่หน่วยสอดแนมที่ผู้ใดส่งมากระมัง?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” ลู่ฉาวจิ่งหัวเราะน้อย ๆ อย่างเรียบง่ายและจริงใจ “ข้าไม่เคยพบเห็นโลก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้าร่วมกองทัพย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา! ข้าไม่เคยได้ยินว่าการเข้าร่วมกองทัพต้องฝึกซ้อมเช่นนี้มาก่อน”
“ข้าขอเตือนเจ้า หากไม่ต้องการสร้างปัญหาก็อย่าได้มากเรื่อง หัวหน้าให้ทำสิ่งใดเจ้าก็แค่ทำสิ่งนั้น”
“ข้ามีเมียที่พึ่งแต่งงาน ข้าอยากกลับไปหานาง ท่านก็รู้ เมียตัวน้อย ๆ ควรค่าให้กลับไปหาที่สุด”
คนผู้นั้นเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “เจ้าแต่งเมียแล้วตัดใจทิ้งมาได้ลงหรือ? แต่ก็ไม่แปลก หากเจ้าแต่งเมียตัวน้อย เจ้าย่อมอยากหาเงินมาเลี้ยงดูนาง! เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องทำงานให้หนักขึ้น ขอเพียงเจ้ายินดีทำงานหนักและเชื่อฟังคำสั่ง ลูกพี่จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าย่ำแย่อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมไม่ขาดเงิน”
ลู่ฉาวจิ่งเข้าใจแล้ว
สรุปง่าย ๆ คือเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปจากที่นี่
เขาไม่แปลกใจนัก เพราะหากออกไปได้ คนในหมู่บ้านเหล่านั้นไม่มีทางไม่กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัว
ลู่ฉาวจิ่งคิดเรื่องนี้ไปพลางขุดหินไปพลาง
เขาลองถามผู้อื่น ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าหินเหล่านี้คืออะไร
อย่างไรก็ตาม เขามองออก หินเหล่านี้เป็นทอง!
ทองนี่ไม่ต่างจากหินเพราะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ง่ายเลยที่จะสกัดทองออกมาจากหินเหล่านี้ ดังนั้นจะต้องมีคนอีกกลุ่มหนึ่งคอยจัดการ อีกทั้งยังต้องเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจ หากไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ เช่นนั้นความลับก็อาจรั่วไหลออกไปง่าย ๆ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาลาว่าการในท้องที่ อย่างไรเสียก็เป็นศาลาว่าการที่ติดประกาศ
กองทัพที่ประจำการอยู่ที่นี่สมคบคิดกับขุนนางท้องถิ่น เช่นนั้นเกรงว่าที่นี่จะไม่มีขุนนางมือสะอาดแม้แต่น้อย
เขาต้องการหาว่าทองคำเหล่านี้ถูกส่งไปที่ใดจึงต้องสืบว่าคนที่ถูกหลอกให้ไปเป็นทหารอยู่ที่ไหน
“พี่ใหญ่ ข้ามีแรงเยอะมาก ไม่สู้มอบงานขนย้ายให้ข้าดีหรือไม่?” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยกับหัวหน้า
คนผู้นั้นมองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ “เจ้าพึ่งมาที่นี่กระมัง?”
“ขอรับ”
“คนพึ่งมาใหม่ไม่ค่อยมีงานมากอะไรมาก เจ้าทำแค่นี้ก็พอ” คนผู้นั้นโบกมือส่ง ๆ
หมู่บ้านสกุลหลิ่ว หลิวจิ่วจู๋แบ่งเงินที่ได้จากการขายของให้กับหยางชิงซือ
หยางชิงซือนับดูแล้วคืนกลับไปให้นางบางส่วนพลางกล่าว “ข้าไม่ได้ทำอะไรมาก ต้องแบ่งให้เยอะเพียงนี้ที่ใดกัน ถึงแม้เราจะสนิทกันเหมือนพี่น้องแต่ก็ต้องแยกแยะบัญชีให้ชัดเจน ข้าเอาเปรียบเจ้าไม่ได้”
หลิวจิ่วจู๋ส่งเงินกลับมาอีกครั้ง
“น้ำผึ้งไม่ใช่เจ้าไปเก็บกับข้าหรือ? สมุนไพรเหล่านั้นไม่ใช่เจ้าไปขุดกับข้าหรือ? หลังจากพี่จิ่งไปแล้ว แม้กระทั่งฟืนล้วนเป็นเจ้าที่ไปช่วยข้าตัด ข้าให้เงินเจ้าเพียงสามส่วน นี่ก็เอาเปรียบเจ้ามากแล้ว…”
หยางชิงซือเห็นนางยืนกรานที่จะให้จึงแอบคิดว่าพรุ่งนี้จะไปตัดฟืนเพิ่มแล้วนำกลับมา
“เมื่อครู่เห็นกระบอกไม้ไผ่ในโอ่งเก็บน้ำของเจ้ามีน้ำไหลออกมา เจ้าทำได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่รู้ สามีทำให้ข้าก่อนจะไป ตั้งแต่มีมัน ข้าก็ไม่ต้องไปตักน้ำเองอีก น้ำที่ไหลออกจากกระบอกไม้ไผ่เป็นน้ำพุจากบนเขา พี่จิ่งบอกว่ามันลำเลียงน้ำมาจากบนเขา…”
“มิน่าเล่า วันนั้นถึงได้เห็นเขาขุดหลุม จากนั้นก็ฝังกระบอกไม้ไผ่ไว้ในหลุม ที่แท้ทำสิ่งนี้นี่เอง สะดวกเกินไปแล้ว บ้านเขาคงไม่ใช่ช่างไม้กระมัง ความคิดเขาถึงฉลาดหลักแหลมเพียงนี้”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
“ถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าบ้านเขาทำอะไรอีกหรือ?”
“เขาบอกว่าทำการค้า” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “ข้าก็ไม่ได้สนใจ เขาส่งจดหมายให้คนที่บ้านแล้ว คิดว่าไม่นานคงมีคนมาตามหา”
หยางชิงซือถอนหายใจเบา ๆ “ข้าเป็นห่วงเจ้า แต่ดูแล้วสามีเจ้าค่อนข้างติดดินทีเดียว แม้ครอบครัวเขาจะร่ำรวยก็คงไม่ปฏิบัติต่อเจ้าย่ำแย่นัก ไม่เหมือนข้า ถูกเจ้าโง่จงซู่เกินนั่นทำให้โมโหจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงจงซู่เกิน หลิวจิ่วจู๋ก็คิดถึงลู่ฉาวจิ่งขึ้นมา
“สามีไปได้สิบวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมายามใด พี่ซู่เกินถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา เพราะฝึกหนักเกินไปจึงไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาหรือว่าเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่?”
“ข้าได้ยินว่าหลิ่วจินเปยก็ไปแล้วเช่นกัน” หยางชิงซือกล่าว “เขาไปหลังสามีเจ้าหนึ่งวัน”
หลิวจิ่วจู๋นับเงินเสร็จก็เก็บใส่กล่องแล้วเริ่มปรุงยาอมชุดใหม่
มีเสียงดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนจะเรียกหลิวจิ่วจู๋
“ท่านป้าผู้นี้ ท่านคือ…”
“เจ้าคือนังหนูสกุลหลิ่วกระมัง?” ท่านป้าผู้นั้นมองนาง “ข้าเป็นสหายสนิทของแม่เจ้า ตอนนั้นแม่เจ้าฝากของบางอย่างไว้กับข้า หลังจากผ่านไปหลายปี เจ้าก็โตขึ้นเพียงนี้ ของที่ควรให้ก็ต้องให้เจ้าแล้ว”
ท่านป้าเหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ย “สองสามปีก่อนหน้านี้สามีข้าทำการค้า ข้าจึงติดตามเขาไปที่อื่น ไม่นานมานี้ข้ากลับมากราบไหว้บรรพบุรุษ ตอนนั้นแม่ของเจ้าให้ข้าเก็บของไว้ให้ บอกว่าเมื่อเจ้าอายุสิบห้าแล้วค่อยมอบให้เจ้า ข้ายังจดจำได้เสมอ เพียงแต่ข้าอยู่ต่างเมือง ไม่มีโอกาสได้กลับมาจึงเลื่อนเวลาออกไปจนกระทั่งถึงบัดนี้ เมื่อครู่ข้าสอบถามผู้อื่น เขาว่าท่านย่าเจ้าก็ไม่อยู่แล้วหรือ?”
“ท่านย่าจากไปแล้วเจ้าค่ะ” หลิวจิ่วจู๋รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ท่านป้า ท่านนั่งก่อน ข้าจะชงชาให้ท่าน”
“ชามาแล้วเจ้าค่ะ” หยางชิงซือเดินยกน้ำชาเข้ามา “ที่บ้านไม่ได้มีชาดีอะไร ท่านป้าอย่าได้รังเกียจ”
“ผู้นี้คือ…”
“นางเป็นพี่น้องข้า” หลิวจิ่วจู๋กล่าว
“จู๋จือ ข้ากลับก่อนละ มีอะไรก็เรียกข้า” หยางชิงซือกล่าว
“ได้”
หลังจากหยางชิงซือไปแล้ว ท่านป้าผู้นั้นก็มองดูหลิวจิ่วจู๋แล้วเอ่ย “พริบตาเดียวเจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว ตอนที่แม่เจ้าตั้งท้อง ข้ามักจะเย็บปักถักร้อยเป็นเพื่อนนาง เสื้อผ้าตัวเล็กที่เจ้าใส่ ล้วนเป็นท่านแม่เจ้าเย็บทีละตะเข็บต่อตะเข็บ”
หลิวจิ่วจู๋ไม่ค่อยได้ยินท่านย่าเอ่ยถึงเรื่องมารดา ประการแรกคือท่านย่ากังวลว่านางจะเสียใจ ประการที่สองคือเมื่อผู้คนจากไป การเอ่ยถึงขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงความคิด ไม่มีความหมายอะไร
หลิวจิ่วจู๋ก็คิดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดเช่นกัน แต่เมื่อคิดว่าหากมารดาไม่มีนางคงไม่ตายตั้งแต่ยังเยาว์เพราะคลอดบุตร ทุกครั้งที่คิดถึงหลิวจิ่วจู๋ก็จึงรู้สึกผิด ยากที่จะกล่าวสิ่งใด
“ของเหล่านี้เป็นแม่เจ้าให้ข้ามา” ท่านป้าวางของห่อหนึ่งลงตรงหน้าหลิวจิ่วจู๋ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเช่นกัน หลังจากนางให้ข้า ข้าก็ไม่เคยเปิดออกเลย”
“ขอบคุณท่านป้า”
“อย่าพูดเช่นนั้น” ท่านป้าผู้นั้นเอ่ย “ท่านแม่เจ้าหน้าตางดงาม ดูไม่เหมือนสาวชาวบ้านแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่ข้าพบนางยังนึกว่าได้เห็นเทพธิดา ทั้ง ๆ ที่นางนุ่งผ้าป่านหยาบ ๆ ก็ยังดูเหมือนคุณหนูสกุลใหญ่ เมื่อเห็นเจ้าแล้วก็ชวนให้คิดถึงแม่เจ้า พวกเจ้าดูเหมือนกันมากจริง ๆ”