สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1126 ตอนพิเศษ (28)
บทที่ 1126 ตอนพิเศษ (28)
คนในหมู่บ้านถูกอวี๋ซื่อตะโกนด่า หากรั้งอยู่ต่อคงไม่ดีนัก
อวี๋ซื่อข่มความโกรธมานาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเชิดหน้าชูตาได้ แม้กระทั่งหลังยังกลับมาตั้งตรงแล้ว
ตอนนี้ผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าลูกชายของนางไร้อนาคตบ้าง?
เขาเป็นคนสุดท้ายในหมู่บ้านที่เข้าร่วมกองทัพแต่เป็นคนแรกที่ได้กลับมา
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าลูกชายของนางมีความสามารถ
“ลูกรัก ข้าให้พ่อเจ้าไปซื้อหมูมาให้แล้ว อีกประเดี๋ยวจะทำหมูตุ๋นให้เจ้ากิน”
“ผู้ใดยังอยากกินหมูตุ๋นเล่า? ข้าอยากกินหมูสองไฟ*[1]” หลิ่วจินเปยกล่าว
“หมูสองไฟคือสิ่งใดหรือ?” อวี๋ซื่อผู้ไม่เคยออกนอกหมู่บ้านจะรู้ได้อย่างไรว่าหมูสองไฟคืออะไร?
หลิ่วจินเปยเผยสีหน้ารังเกียจ ราวกับว่าอวี๋ซื่อไม่คู่ควรแก่การพาไปให้ผู้ใดพบเห็น
ในยามนี้ หยางเสี่ยวอวี๋ที่เพิ่งออกไปก็กลับมาแล้ว
หยางเสี่ยวอวี๋เป็นสหายที่เติบโตมาด้วยกันกับจงซู่เกิน
หยางเสี่ยวอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่จินเปย ข้ามาหาอีกครั้งแล้ว”
“เจ้าจะถามอะไรอีก?” หลิ่วจินเปยเริ่มหมดความอดทน
“ข้าก็อยากเข้าร่วมกองทัพเช่นกัน เพียงแค่อยากมาถามข้อมูลเพิ่มเติมจากท่านก็ไม่ได้หรือ!” หยางเสี่ยวอวี๋กล่าว
หลิ่วจินเปยแววตาเปล่งประกายขึ้นมา
“เข้าร่วมกองทัพหรือ! ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงกระมัง!”
หยางเสี่ยวอวี๋ยืดหน้าอกขึ้น “ร่างกายข้ามีปัญหาอะไร? ท่านทำได้ เหตุใดข้าจะทำไม่ได้?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่ได้มีความหมายอื่นใด” หยางเสี่ยวอวี๋ยิ้มขอโทษขอโพย “ข้าหมายความว่าพวกเราไม่ได้แตกต่างกันมาก หากท่านเข้าร่วมกองทัพได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน! ในเมื่อพี่จินเปยได้รับความโปรดปรานจากลูกพี่มากเพียงนี้ ทั้งยังทำผลงานชิ้นใหญ่ได้ หากท่านช่วยพูดถึงข้าดี ๆ สักสองสามคำ ข้าอาจจะพอมีโอกาส ข้าไม่ปล่อยให้พี่จินเปยทำงานเปล่า ๆ อย่างแน่นอน”
“นั่นไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” หลิ่วจินเปยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เพียงแต่ ข้าขอกล่าวคำพูดไม่น่าฟังเสียก่อน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถ เจ้าจะทำผลงานได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง”
“แน่นอน” เมื่อเห็นหลิ่วจินเปยแทบยกหางลอยขึ้นฟ้า หยางเสี่ยวอวี๋จึงเริ่มเข้าประเด็นสำคัญ “กล่าวไปแล้วจงซู่เกินหมู่บ้านเราก็นับว่าทึ่มทื่อไปหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะทำผลงานไม่ได้ จิ๊! มีเพียงกำลังโง่ ๆ นั้นไม่พอ จักต้องมีสมองอันชาญฉลาดด้วย ดูอย่างพี่จินเปยสิ คนมีสมองที่ดีนี่ต่างออกไปจริง ๆ”
หลิ่วจินเปยได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นก็ดีใจ ไม่ได้เร่งให้กลับไปอีก
“จริงสิ พี่จินเปย ข้าน่ะเป็นคนขี้อาย หากท่านแนะนำข้าให้ลูกพี่ ข้าขออยู่กระโจมเดียวกับคนในหมู่บ้านได้หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นบ้านเจ้าหรือ ถึงคิดจะอยู่ที่ใดก็ได้อยู่ที่นั่น?”
“เช่นนั้น คนหมู่บ้านเราได้อยู่ด้วยกันหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่”
“เหตุใดเล่า?”
“นั่นเป็นการฝึก ไม่ใช่การพักผ่อน จำเป็นต้องอยู่กับคนรู้จักกันหรือไร?”
หยางเสี่ยวอวี๋มีวาทศิลป์ดี หลิ่วจินเปยที่เริ่มแรกยังระแวดระวัง ไม่นานก็เริ่มพูดไปเรื่อย เจรจาอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ทว่าในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองพูดมากเกินไปแล้ว จึงหาทางไล่หยางเสี่ยวอวี๋ด้วยท่าทีหมดความอดทน
หยางเสี่ยวอวี๋ออกมาจากบ้านหลิ่วจินเปย
“ชู่ ๆ”
หยางเสี่ยวอวี๋มองคนที่อยู่ตรงหัวมุม จากนั้นก็มองไปข้างหลังเพื่อดูให้แน่ใจหลิ่วจินเปยมองไม่เห็นและหมุนกายเดินไปที่มุมดังกล่าว
“สอบถามได้ความอย่างไร?”
“มีเรื่องแปลก ๆ เล็กน้อย” หยางเสี่ยวอวี๋เอ่ย “หลิ่วจินเปยเป็นคนอย่างไร พวกเราต่างรู้ดี หากเขาร้ายกาจเพียงนั้นจริง ๆ จะเลินเล่ออย่างตอนนี้หรือ? ข้าคิดว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง”
“ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นอย่างไร เพียงแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสามีของจู๋จือกับเจ้าโง่จงซู่เกินนั่น”
“ข้าสงสัยว่าเดิมทีเขาก็ไม่เคยพบจู๋จือกับพี่ซู่เกินเลย”
“แต่เมื่อครู่เขาไม่ได้ปฏิเสธ”
“เมื่อครู่เขาเพียงคุยโวว่าการเข้าร่วมกองทัพยอดเยี่ยมเพียงใด การฝึกทหารสบายเพียงใด หาเงินได้ง่ายเพียงใด ขาดแค่เพียงเขียนคำว่า ‘รับสมัครทหาร’ ไว้บนใบหน้า เดิมทีเขาไม่มีความอดทนกับข้า แต่พอข้าบอกว่าข้าอยากไปเป็นทหาร ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ข้าสงสัยว่าเขากลับมารับคนโดยเฉพาะ คนที่กลับหมู่บ้านมาอย่างเขาคงมีไม่น้อย หากจะรับสมัครทหารย่อมต้องรับจากทุกที่ ไม่อาจรับเฉพาะคนจากหมู่บ้านของเราได้ วันนี้เย็นมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะลองไปสอบถามที่หมู่บ้านอื่นดู”
“กล่าวได้มีเหตุผล!”
อีกทางหนึ่ง ลู่ฉาวจิ่งลากร่างกายอันอ่อนล้ากลับไปที่ค่าย
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยฝุ่น ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่มีน้ำ ถึงแม้จะมีน้ำก็ไม่ใช่น้ำสำหรับอาบ ทั้งค่ายจึงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่อ
“ได้เวลากินแล้ว”
มีคนถือของเข้ามา
ทันทีที่ลู่ฉาวจิ่งนั่งลงก็เห็นพวกเขาถือถังมา ในถังเป็นอาหารเย็นสำหรับพวกเขา
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าอาหารเย็นในถังเป็นสิ่งใด เพียงแค่ถ้วยก็มีคราบสีดำติดอยู่ เดิมทีก็ไม่ได้ผ่านการล้าง แต่กลับนำมาให้คนกินได้
คนอื่น ๆ เหนื่อยล้ายิ่ง เดิมทีแม้กระทั่งจะพูดยังไม่มีแรง ไม่ต้องกล่าวถึงการประท้วงต่อต้าน ‘เรื่องเล็กน้อย’ เช่นนี้เลย
ลู่ฉาวจิ่งดันถ้วยออกไปพร้อมกับพูดจาโผงผางขึ้นมา “นี่มันอะไรกัน? นี่เป็นของที่คนกินหรือ? แม้กระทั่งสุนัขยังไม่กินกระมัง!”
สายตาแต่ละคู่ต่างจับจ้องมาที่เขา
บ้างก็ประหลาดใจ บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็รู้สึกเห็นใจ
หัวหน้าทหารบังเอิญเดินเข้ามาพอดี เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฉาวจิ่ง สีหน้าเขาพลันเข้มขึ้น “หากเจ้าอยากตายก็อย่าได้เอาเราเข้าไปเกี่ยว”
ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าทหาร ลู่ฉาวจิ่งย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของเขา หากลู่ฉาวจิ่งก่อปัญหา เขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย
“หัวหน้า ข้ามาเป็นทหาร พวกท่านกล่าวเสียดิบดีว่าจะได้เงินสามตำลึงต่อเดือน ฝึกทหารไม่ลำบาก มีให้กินดื่มอย่างอิ่มหนำ แต่อาหารเหล่านี้เรียกว่าอาหารที่ดีได้หรือ? ข้าไม่ทำแล้ว ข้าจะออกจากที่นี่!”
“ในเมื่อมาแล้วก็อย่าได้คิดจะออกไป” หัวหน้าทหารกล่าว “หากคิดจะออกน่ะไปย่อมได้ ทว่าเจ้าต้องนอนออกไป!”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกองทัพ วัน ๆ เอาแต่ให้ข้าขุดหิน แม้กระทั่งอาหารดี ๆ ข้าก็ไม่ได้กิน ตอนนี้ยังไม่ให้ข้าออกไปอีกหรือ?!”
“เอะอะอะไร?” ชายผู้หนึ่งเดินตะโกนเสียงดังเข้ามา
บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาในกระโจมแล้วจ้องมองลู่ฉาวจิ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าน่ะหรือที่ก่อปัญหา? ในเมื่อดื้อด้านเพียงนี้ เช่นนั้นก็เก็บกวาดเสียหน่อย เด็ก ๆ นำตัวออกไป!”
ลู่ฉาวจิ่งถูกพาตัวไปแล้ว
หลังออกมาจากกระโจม คนหยาบกระด้างผู้นั้นก็เหวี่ยงแส้ไปทางเขา
ลู่ฉาวจิ่งจะยืนรอให้แส้ฟาดใส่ตัวได้อย่างไร เขาคว้าแส้นั้นไว้ทันที
“ดีนี่ เจ้ายังกล้าขัดขืนอีก วันนี้ข้าจะจะจัดการเจ้าเอง!”
บุรุษหยาบกระด้างผู้นั้นเหวี่ยงหมัดไปที่ลู่ฉาวจิ่ง
ลู่ฉาวจิ่งเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะโต้กลับ
ผู้คนออกมามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นลู่ฉาวจิ่งต่อสู้กับบุรุษเสียงกระด้างผู้นั้น แต่ละคนต่างกลั้นหายใจ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
ขณะที่ลู่ฉาวจิ่งกำลังสู่กับบุรุษผู้นั้น สายตาเขาไม่ได้อยู่นิ่ง คอยสำรวจผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตลอดเวลา
เขากำลังมองหาคน
แม้จะไม่ใช่จงซู่เกิน ขอเพียงเป็นคนคุ้นเคยในหมู่บ้าน อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะอยู่ที่นี่
ไม่มี
ไม่มีแม้แต่คนเดียว
ดูเหมือนว่าขบวนการนี้จะใหญ่โตกว่าที่คิด
เขากำลังเดิมพัน
แทนที่จะถูกขังอยู่ในถ้ำขุดหินร่วมกับคนเหล่านั้นทุกวัน ยังไม่สู้ลองดูสักตั้งว่าจะสามารถดีดตัวออกมาได้หรือไม่
ลู่ฉาวจิ่งมั่นใจว่าสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ เพียงแต่หลังจากหนีไปเล่า? หากจะแอบเข้ามาอีกคงไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น ไม่สู้อยู่ที่นี่และตรวจสอบต่อไป บางทีอาจพบเบาะแสอื่น
เพียงแต่เขาต้องเปลี่ยนสถานะตนเอง ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างจากผู้อื่น หากแม้กระทั่งออกจากที่นี่ยังไม่ได้ การจะตรวจสอบร่องรอยอื่นย่อมไม่ง่ายดาย
พลั่ก! บุรุษเสียงกระด้างถูกลู่ฉาวจิ่งทุ่มลงกับพื้น
บุรุษผู้นั้นลุกขึ้นด้วยความโมโห ตรงดิ่งเข้ามาชกลู่ฉาวจิ่งอีกครั้ง
ลู่ฉาวจิ่งเหวี่ยงหมัดใส่เขาหมัดแล้วหมัดเล่า
“นายกองมาแล้ว!” มีคนตะโกนขึ้นมา
ขณะที่ลู่ฉาวจิ่งชกอีกครั้งก็ถูกคนผู้หนึ่งหยุดไว้
อีกฝ่ายเจ็บปวด คนทั้งคนนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น
นายกองเซี่ยวถอนมือกลับอย่างพึงพอใจ พินิจลู่ฉาวจิ่งตรงหน้าแล้วกล่าว “คนหนุ่มนำหน้าคนรุ่นก่อน ฝีมือไม่เลว”
ลู่ฉาวจิ่งกล่าวหน้านิ่ง “ข้าอยากไปจากที่นี่”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมีชีวิตที่ดี แต่ท่านดูสิว่าเราได้กินอะไร” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “แม้กระทั่งสุนัขยังไม่กินของพวกนี้”
บุรุษเสียงกระด้างลุกขึ้น เอ่ยกับนายกองเซี่ยว “นายกอง คนประเภทนี้ไม่อาจเก็บไว้ได้นะขอรับ สมควรจัดการตามกฎทหารทันที”
นายกองเซี่ยวโบกมือ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาเอ่ยสิ่งใด
เขามองลู่ฉาวจิ่งแล้วกล่าว “เจ้าผิวบอบบางเพียงนี้ ก่อนหน้าคงมีพื้นเพไม่เลวกระมัง? เหตุใดจึงอยากเข้าร่วมกองทัพเล่า?”
“บ้านข้าก่อนหน้านี้ทำกิจการเล็ก ๆ ผลที่ได้คือครอบครัวข้าตกต่ำลง ข้าจึงถูกขายเป็นทาส เพียงแต่โชคดีที่วาสนาข้าไม่เลวจึงได้สตรีผู้หนึ่งซื้อข้าเป็นเขยแต่งเข้า เมื่อได้ยินว่าเป็นทหารจะได้รับเบี้ยเลี้ยงสามตำลึงต่อเดือน แน่นอนว่าข้าต้องมา ไม่เช่นนั้นจะให้ข้ารออดตายอยู่ที่บ้านหรือ?”
“เจ้าอยากหาเงินหรือ?”
“แน่นอนว่าอยาก ไม่เช่นนั้นข้าจะมาทำอะไร?”
“เจ้าฝีมือไม่เลว อยากติดตามข้าทำงานหรือไม่?”
บุรุษเสียงกระด้างผู้นั้นหันไปมองนายกองเซี่ยว “นายกอง เขาเป็นคนมาใหม่นะขอรับ”
นายกองเซี่ยวกล่าว “ไม่สำคัญ แม้เขาจะใหม่แต่ก็ต้องให้โอกาส! ข้าเห็นว่าเขามีฝีมือไม่ย่ำแย่ ฝีมือเช่นนี้ให้รั้งอยู่เป็นทหารเล็ก ๆ ก็เสียของเกินไป”
“หากติดตามท่านทำงานต้องได้ค่าแรงมากกว่าสามตำลึงเงินกระมัง?”
“สามสิบตำลึงเงิน”
“ได้! ข้าจะติดตามท่านทำงาน”
คนอื่น ๆ ต่างมองดูลู่ฉาวจิ่งด้วยความอิจฉา
เมื่อครู่ยังขุดหินอยู่ด้วยกันในถ้ำ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่เพียงแต่ทุบตีคนที่อยู่เหนือกว่า แต่ยังได้รับการตกรางวัลเพราะการทุบตีนั้นด้วย
คนที่ยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นเมื่อครู่ ตอนนี้กลับมีสีหน้าซับซ้อน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง พวกเขากระจ่างแจ้งว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ หากแต่ไม่มีใครกล้าทักท้วงต่อต้าน แม้ว่าอาหารของพวกเขานับวันจะยิ่งไม่อร่อยขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีกระทั่งน้ำมัน ทว่าพวกเขาก็ยังต้องอดทน
ลู่ฉาวจิ่งติดตามนายกองเซี่ยวไปแล้ว
ตอนนั้นผู้ที่สมัครทหารเริ่มแรกล้วนได้ยินว่านายกองเป็นผู้รับผิดชอบที่นี่
ดังนั้นนายกองเซี่ยวผู้นี้จึงเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงสุด ณ ที่แห่งนี้
หลังจากนั้น ลู่ฉาวจิ่งไม่เพียงแต่มีกระโจมแยกแต่ยังมีทหารเล็ก ๆ อีกสองคนคอยดูแลชีวิตประจำวันของเขาด้วย
ส่วนจะดูแลจริงหรือเพียงแสร้งดูแล ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย
“นายร้อย น้ำร้อนพร้อมแล้ว นี่เป็นชุดใหม่ของท่านขอรับ”
ลู่ฉาวจิ่งมองดูเสื้อผ้าชุดนั้นแวบหนึ่ง
เครื่องแต่งกายของนายร้อยไม่เหมือนกับชุดของ ‘ทหาร’ คนอื่นๆ
อันดับแรกลู่ฉาวจิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นก็เติมอาหารให้เต็มท้อง พรุ่งนี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ไม่กระทบต่อการพักผ่อนของเขาในวันนี้แม้แต่น้อย
เขานอนอยู่บนเตียง มองกระโจมที่เต็มไปด้วยฝุ่น คิดถึงญาติ ๆ ที่อยู่ห่างออกไปในเมืองหลวง
“ท่านพี่ ท่านก็ไม่ได้รู้เห็นทุกสิ่งนี่นา!”
ดูสิ ไม่ว่าขุนนางจะมีอำนาจหรือมีความสามารถเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจแทรกแซงเรื่องที่ ‘อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้า’ ได้
[1] หมูสองไฟ ( 回锅肉) : เมนูอาหารที่นำหมูไปต้มก่อนแล้วค่อยนำมาผัดใส่เครื่องปรุงรส