สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1129 ตอนพิเศษ (31)
บทที่ 1129 ตอนพิเศษ (31)
“พวกเราล้วนเป็นคนหยาบคาย ไม่เข้าใจเหตุผลมากมายเช่นนั้น ขอเพียงเราเห็นลูก เรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นเราย่อมไม่เชื่อ เช่นนี้ถึงจะสามารถกลับไปอธิบายให้ภรรยาที่บ้านฟังได้”
บุรุษท่าทางซื่อตรงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงคล้อยตาม
นายอำเภอขมวดคิ้ว โบกมือปัด “เอาละ ข้าเข้าใจอารมณ์ของพวกเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นทหารใหม่ หากยังไม่ผ่านช่วงฝึกย่อมกลับมาไม่ได้ เอาอย่างนี้ สืบหาว่าผู้ใดปล่อยข่าวลือออกมา ข้าจะไต่สวนเขา หากคนผู้นั้นพูดจาเหลวไหล ข้าจะไม่มีวันอดทนอย่างแน่นอน”
“ใต้เท้า…”
ที่ปรึกษาเดินเข้ามาจากข้างนอก
“ใต้เท้า เมื่อครู่พึ่งจับตัวนักพนันผู้หนึ่งที่เสียเงินทั้งหมดในโรงพนันแล้วคิดจะขโมยของได้ขอรับ เขาถูกนำตัวไปที่ศาลาว่าการแล้ว”
“จับเขาเข้าคุก เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาหาข้าด้วยเหตุใด? ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่ทางนี้?”
“คนผู้นั้นเป็นคนหมู่บ้านสกุลหลิ่ว หลิ่วจินเปยขอรับ เมื่อครู่ได้ยินผู้เฒ่าสองสามคนเอ่ยถึงชื่อนี้แว่ว ๆ จึงอยากถามว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่”
“หลิ่วจินเปย? เขาเป็นคนหมู่บ้านเรา” หัวหน้าหมู่บ้านหมู่บ้านสกุลหลิ่วเอ่ยขึ้น “เขาก็เป็นทหารใหม่ผู้หนึ่งเช่นกัน เขากลับมาที่หมู่บ้านแล้วบอกว่าสร้างผลงานอะไรบ้าง พวกเราพบว่าเขาได้รับบาดเจ็บจึงคิดจะถามเรื่องนี้สองสามคำ แต่เขาก็วิ่งหนีไปก่อน”
“ผลงานอะไรกัน?” ที่ปรึกษากล่าว “เขาเป็นเพียงคนโกหกผู้หนึ่ง”
“หมายความว่าอย่างไร?” ชาวบ้านเอ่ยถาม
“หมู่นี้เขาอยู่ที่โรงพนัน คนในโรงพนันสามารถเป็นพยานได้ หลังจากเขาเสียเงินทั้งหมดก็ออกไปขโมยข้าวของแล้วกลับมาเล่นพนันอีก เล่นพนันหมดตัวก็ขโมยใหม่ บางครั้งถูกจับได้ แน่นอนว่าเขาต้องถูกทุบตี นี่เป็นที่มาของอาการบาดเจ็บบนร่างกายเขา”
ชาวบ้านต่างมองหน้ากันไปมา
“ไม่ใช่กระมัง?”
“เรื่องสำคัญเช่นนี้หลิ่วจินเปยไม่มีทางโกหกเรา”
“เขากลับมาที่หมู่บ้านแล้วบอกพวกท่านว่าได้เป็นทหาร ทั้งยังกล่าวว่าการเป็นทหารนั้นดีมาก สามารถแนะนำให้ผู้อื่นเป็นทหารได้ใช่หรือไม่?” ที่ปรึกษาเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว!”
“เขาคิดจะหลอกลวงคนหมู่บ้านเดียวกันไปขายน่ะสิ” ที่ปรึกษากล่าว “โชคดีที่พวกเจ้ารู้ทัน ไม่เช่นนั้นคงถูกเขาขายและยังต้องช่วยเขานับเงิน นอกจากหลิ่วจินเปยยังมีหนิวผิงอันจากหมู่บ้านสกุลหนิว หลี่กวงเจินจากหมู่บ้านสกุลหลี่ พวกเขาล้วนเป็นพรรคพวกกัน”
ชาวบ้านหลายหมู่บ้านต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินที่ปรึกษาเรียกชื่อคนในหมู่บ้านของตนออกมา ทั้งยังได้ยินเขาบอกว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ทหาร หากแต่หลังจากเล่นพนันทั้งวี่วันแล้ว แต่ละคนยังพยายามหลอกลวงชาวบ้านไปขายด้วย
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันธพาลในหมู่บ้าน ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ค่อยทำเรื่องดี ๆ มากนัก หากกล่าวว่าพวกเขาทำเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ก็ไม่น่าสงสัยแม้แต่น้อย
“ส่งคนไปคุมตัวหลิ่วจินเปยมาให้เขาอธิบายด้วยตัวเอง”
ที่ปรึกษาออกไปแล้ว จากนั้นจึงพานักการไปคุมตัวหลิ่วจินเปยมา
ต่อหน้าชาวบ้านมากมายหลายหมู่บ้าน สิ่งที่หลิ่วจินเปยเล่าไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ที่ปรึกษากล่าวมากนัก
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้เป็นทหารจริง ๆ หรือ?”
“ร่างกายของข้า ข้าจะยอมทิ้งไปได้อย่างไร?” หลิ่วจินเปยหมดอาลัยตายอยาก “ยามกลับไปบ้าน ข้าถูกหัวเราะเยาะ ข้าไม่อยากฟังถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นจึงอยากรวยก่อนกลับบ้าน เล่นพนันเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ข้าจึงใช้เงินสองตำลึงที่แม่ให้มาไปกับโรงบ่อน เริ่มแรกชนะได้ไม่น้อย สูงสุดได้สองร้อยตำลึง แต่ต่อมาข้าก็เสียทุกอย่างไป ข้าไร้ทางเลือกจึงทำได้เพียงขโมย แล้วกลับไปเริ่มเล่นพนันใหม่…”
“ท่านนายอำเภอ พวกเรายังอยากเจอลูกหลานของเราอยู่” ชาวบ้านข้าง ๆ กล่าว
“ข้าบอกไปแล้ว กรมกลาโหมไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า หากอยากจะพบก็ต้องไปสอบถามที่ค่ายทหาร พวกเจ้าวางใจ ข้าจะตรวจสอบให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน หรือว่าพวกเจ้าไม่ไว้ใจข้า?”
ชาวบ้านถูกส่งตัวกลับไปอย่างสุภาพ
คนหลายสิบคนยืนอยู่ที่ประตูศาลาว่าการ แต่ละคนเงียบสนิท
“ตอนนี้จะทำอย่างไร? พวกเรายังจะไปที่กรมกลาโหมอยู่หรือไม่?”
“จะไปอย่างไร?” หัวหน้าหมู่บ้านสกุลหลิ่วกล่าว “ถึงพวกเราไป พวกเขาก็จะบอกว่าคนสมัครต้องใช้เวลาฝึกฝน ไม่อาจกลับบ้านได้ทันทีทันใด พวกเราถ่อไปก็สูญเปล่า”
“แล้วจะปล่อยไปอย่างนี้หรือ? พวกเราเชื่อสิ่งที่หลิ่วจินเปยพูดได้จริงหรือ?”
“ข้าว่าเป็นความจริง หลิ่วจินเปย คนผู้นั้นจะเป็นทหารไปได้อย่างไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงร่างกายผอมแห้งแรงน้อยของเขาเลย ด้วยนิสัยเกียจคร้านไม่เอาการเอางานนั่น แม้จะอยากเป็นทหารก็ไม่มีผู้ใดรับเขาเป็นแน่ เอาละ พวกเราอย่ามัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่นี่เลย กลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน!”
ชาวบ้านยังคงคิดถึงคนในครอบครัวของตน
เพียงแต่กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ศาลาว่าการไม่ปล่อยคน เดิมทีพวกเขาก็หาไม่พบว่าคนอยู่ที่ใด
คนกลุ่มหนึ่งเข้าเมืองมาอย่างฮึกเหิม แต่กลับต้องจากไปด้วยใจที่หนักอึ้ง
“ท่านอาหัวหน้าหมู่บ้าน…” หยางเสี่ยวอวี๋ขับเกวียนมา
บนเกวียน หยางชิงซือกับหลิ่วจิ่วจู๋กระโดดลงมา
“เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี่ได้?”
“ท่านอาหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นอย่างไรบ้าง” หลิ่วจิ่วจู๋เอ่ยถาม
“ไม่ได้พบคน” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย “เพียงแต่เรื่องกระจ่างแล้ว หลิ่วจินเปยเดิมทีก็ไม่ใช่ทหาร เขาโกหกเรา อาการบาดเจ็บตามร่างกายเป็นเพราะถูกทุบตีขณะขโมยของ ไม่เกี่ยวอะไรกับค่ายทหาร”
“เช่นนั้นคนอื่น ๆ เล่า?”
“ไม่ได้พบ พวกเขาบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงรับสมัครทหารใหม่จะต้องมีการฝึกฝน วินัยทหารเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ออกมาเพ่นพ่านได้”
“เสียเวลากว่าครึ่งค่อนวัน แต่การเดินทางของพวกเรากลับไร้ผลหรือ?” หยางชิงซือไม่พอใจกับผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง “ถึงหลิ่วจินเปยจะโกหกและพวกเราถูกหลอก ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ผู้อื่นจะกลับหรือไม่กลับบ้านเสียหน่อย ในเมื่อพวกเขาไม่อาจกลับบ้าน อย่างน้อยก็ให้พวกเราไปดูหน่อยเถิด! ขอเพียงพวกเราเห็นว่าพวกเขายังอยู่ดีก็สบายใจแล้ว วินัยทหารเข้มงวด พวกเราก็ลอบมองพวกเขาโดยไม่รบกวนการฝึกได้นี่!”
“ใช่ พวกเราแอบมองดูก็ได้!” คนอื่น ๆ ล้วนเห็นด้วย
“เรื่องนี้ค่อยว่ากัน พวกเรารอก่อนเถอะ!” หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยากทำให้คนของศาลาว่าการขุ่นเคืองอีก
หยางชิงซือไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้นัก
ถึงแม้จะสามารถอธิบาย ‘เหตุผล’ ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน แต่นางก็รู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หยางเสี่ยวอวี๋ไปสอบถามเรื่องการรับสมัครทหาร
ตอนนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับการรับสมัคร นั่นหมายความว่าเรื่องจบแล้ว แม้เขาอยากเข้าไปก็ไม่มีโอกาสได้ไป นับประสาอะไรกับช่องทางที่จะสอบถามความได้
พวกเขามาอย่างไรก็จำต้องกลับไปเช่นนั้น
ทุกคนกลับไปที่หมู่บ้าน
ชาวบ้านมารวมตัวกันเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวหน้าหมู่บ้านอธิบายสถานการณ์โดยละเอียด
“กล่าวเช่นนี้ แปลว่าพวกเราถูกหลิ่วจินเปยหลอกหรือ? เสาหลักของพวกเรายังอยู่ในค่ายทหารกระมัง?”
หัวหน้าหมู่บ้านโบกมือแล้วเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามผู้ใด? อย่างไรเสียข้าก็พาทุกคนไปศาลาว่าการเพื่อขอคำอธิบายแล้ว ทางการให้เหตุผลนี้มา หลิ่วจินเปยถูกจับจริง ๆ เขาสารภาพว่าทุกอย่างเป็นเรื่องที่ตนกุขึ้น เอาละ อย่าได้จับกลุ่มอยู่ที่นี่เลย ระยะเวลาฝึกทหารเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น หากยังไม่ปล่อยคนกลับมาหลังจากสามเดือน พวกเราค่อยถามอีกครั้ง”
อวี๋ซื่อเอ่ยเสียงแหลม “เช่นนั้นลูกชายข้าเล่า?”
หัวหน้าหมู่บ้านตอบด้วยความโกรธ “เขาถูกจับได้ว่าขโมยของ เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่ที่ใด? แน่นอนว่าต้องอยู่ในคุกน่ะสิ!”
อวี๋ซื่อโห่ร้อง “โถ่เอ๊ย เหตุใดชีวิตข้าจึงได้รันทดนักนะ ทั้งหมดเป็นเพราะฝางซิ่วหลาน นางสมควรตายผู้นั้น ตั้งแต่นางแต่งเข้ามา ครอบครัวของเราไม่มีวันใดสงบสุขเลย”
“เจ้าโทษฝางซิ่วหลาน แต่ฝางซิ่วหลานกลับมีชีวิตดี ๆ แล้ว วันนี้ข้าพบนาง ท้องใหญ่เชียวละ รอบตัวนางมีคนรับใช้หลายคน นางแทบจะมองไม่เห็นพวกเราตัวเล็ก ๆ แล้ว ดูนางสิ หลังจากออกจากบ้านเจ้า ตอนนี้ก็กลายเป็นถึงฮูหยินผู้มั่งคั่ง!”
คนในหมู่บ้านต่างหัวเราะเยาะอวี๋ซื่อ
อวี๋ซื่อก่นด่าฝางซิ่วหลาน อีกทั้งยังทะเลาะกับสตรีหลายคนในหมู่บ้านจนเกิดเหตุวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง