สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1135 ตอนพิเศษ (35-2)
บทที่ 1135 ตอนพิเศษ (35/2)
“ไปซื้อร่มหรือ? ช่วงนี้ฝนไม่ตก ไม่จำเป็นต้องซื้อร่มหรอก!”
หัวหมู่จางหมดความอดทน โบกมือไล่ผู้ดูแลศาลาพักม้าผู้นั้นให้ถอยไป
คนผู้นี้ส่งเสียงดังหนวกหูจริง ๆ
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ลู่ฉาวจิ่งก็กลับมาแล้ว
เขาพาหมอเท้าเปล่าในท้องถิ่นผู้หนึ่งกลับมาด้วย อีกฝ่ายเป็นผู้ที่รักษาโรคทั่ว ๆ ไปของชาวบ้าน
ท่านหมอเท้าเปล่าทำแผลให้ทุกคนพลางเขียนใบสั่งยาให้พวกเขาต้มกิน ตัวยามีสรรพคุณลดอาการอักเสบและไม่ทำให้เป็นหนอง
ลู่ฉาวจิ่งจ่ายค่ารักษาแล้ว
“ค่าใช้จ่ายของเหล่าพี่น้องจักให้เจ้าจ่ายได้อย่างไร?” นายร้อยหลี่กล่าวยิ้ม ๆ “เมียเจ้ายังรอให้เจ้าเลี้ยงดู หากใช้เงินหมดก่อน เกรงว่ากลับไปจะไม่ได้ขึ้นเตียงเสียแล้ว”
คนอื่น ๆ ต่างหัวเราะร่วน
“เมียข้าเป็นคนอ่อนโยน มีน้ำใจ นางให้ความสำคัญกับข้าเป็นอันดับหนึ่ง นางจะทำตามที่ข้าพูด ไม่ได้ใจแคบเพียงนั้น” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “หากภายหน้ามีโอกาส ข้าจะแนะนำนางกับพวกท่าน”
คนอื่น ๆ หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่ฉาวจิ่งบอกว่าจะแนะนำเมียให้ทุกคนรู้จัก นั่นหมายความว่าเขาเห็นทุกคนเป็นดั่งพี่น้อง ด้วยประโยคนี้ ระยะห่างระหว่างเขากับเหล่าทหารจึงลดลงอีกครั้ง
หัวหมู่จางตกอยู่ในความรู้สึกสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเด็กคนนี้ช่างไม่รู้จักระแวดระวัง เขาปฏิบัติต่อทุกคนดั่งพี่น้อง มีกำลังออกกำลัง มีเงินออกเงิน ทว่าพวกเขากลับยังคิดระแวงอีกฝ่าย เรื่องไม่ควรเป็นเช่นนี้จริง ๆ
คนที่ติดตามลู่ฉาวจิ่งไปเมื่อครู่กลับมาแล้ว เขาเล่าเรื่องที่ลู่ฉาวจิ่งไปตามหาหมออย่างละเอียดชัดเจน
ชายหนุ่มผู้นั้นโง่เสียจนหกล้มไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ง่ายเลยที่จะพบหมู่บ้านในที่ท้ายที่สุด ทว่าที่นั่นกลับไม่มีหมอจึงทำได้เพียงไปหาที่หมู่บ้านต่อไป
ขณะตามหาหมอที่หมู่บ้านต่อไปก็พบเข้ากับหมาบ้า ได้ยินว่าเขาเกือบจะถูกกัด ทว่าต่อมาได้ทุบตีหมาบ้าตัวนั้นตาย มิหนำซ้ำยังต้องชดใช้เงินหนึ่งตำลึงให้กับเจ้าของมันด้วย
“คืนนี้ทุกคนผลัดกันเฝ้ายาม อย่าได้นอนหลับลึกเกินไป” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “พวกเราล้วนมีหน้าที่สำคัญ ลำบากทุกคนแล้ว”
“พี่ลู่ อย่าได้เอ่ยเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ”
“ใช่ ครั้งนี้ติดตามพี่ลู่ออกมา พวกเราได้เรียนรู้อะไรไม่น้อยจริง ๆ”
หัวหมู่จางจัดเวรยามให้คนผลัดกันเฝ้า
ครึ่งคืนแรกไม่มีเรื่องใด ทว่าครึ่งคืนให้หลังกลับเริ่มมีปัญหา
จู่ ๆ ลู่ฉาวจิ่งก็ลุกพรวดขึ้นมา
“มีอะไรหรือ?” หัวหมู่จางเอ่ยถาม
“พวกท่านได้ยินอะไรหรือไม่?”
“ไม่มีนี่!”
ลู่ฉาวจิ่งลงจากเตียงแล้วสาวเท้าออกไปไว ๆ
เขามาที่ลานด้านหลัง
“เหตุใดรถม้าจึงน้อยลงไปหนึ่งคัน?”
ทุกคนรีบออกมาดู รถม้าหายไปคันหนึ่งจริง ๆ
เมื่อดูร่องรอยล้อรถม้าก็เห็นได้ชัดว่ามันพึ่งออกไป
“พวกเจ้าไปดูผู้ดูแลศาลาพักม้าเฒ่าผู้นั้นก่อนว่ายังอยู่หรือไม่” หัวหมู่จางออกคำสั่ง
ลูกน้องผู้นั้นกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วรายงาน “ไม่อยู่ในห้องขอรับ”
“ตาเฒ่านี่! นึกไม่ถึงว่าจะหลอกพวกเราแล้ว” นายร้อยหลี่เอ่ย “ตามไป!”
ตอนนี้ยังพอตามทัน
อย่างไรเสียเขาก็ยังไปได้ไม่ไกลนัก
ลู่ฉาวจิ่งขึ้นควบม้าแล้วกล่าว “ข้าจะไล่ตามเขาไป พวกท่านกลุ่มหนึ่งรั้งอยู่เฝ้ากล่องที่เหลือ คนอื่น ๆ ตามข้ามา”
การไล่ตามครั้งนี้กินเวลาไปอีกสองชั่วยาม
ครั้นรุ่งสาง คนที่ไล่ตามต่างก็หายใจหอบด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าลู่ฉาวจิ่งตามรถม้ากลับมาได้แล้ว
“ของเล่า?”
“ผู้ดูแลศาลาพักม้าเฒ่าผู้นั้นหนีไปแล้ว” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “พวกเราคิดว่าเขาเป็นคนแก่หูหนวก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง วิชาตัวเบาเขายอดเยี่ยมยิ่ง”
“เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ข้าไม่ได้บาดเจ็บ” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “เขาใช้อาวุธลับด้วย โชคดีที่ข้าหลบได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ทุกคนกลับเข้าไปในศาลาพักม้า
โชคดีที่กล่องอื่น ๆ ไม่มีปัญหา
พวกเขาตรวจสอบผนึกที่ปิดบนกล่องทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูกแตะต้อง เช่นนี้ถึงได้วางใจ
พวกเขาไปยังห้องที่ผู้ดูแลเฒ่าผู้นั้นอาศัยอยู่ จากนั้นจึงพบศพหนึ่งอยู่ที่นั่น ดูจากศพแล้ว ผู้ตายเป็นผู้ดูแลของศาลาพักม้า คนก่อนหน้านั้นเป็นตัวปลอมอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ!”
หมู่บ้านสกุลหลิ่ว ฝางซิ่วหลานนั่งอยู่ในรถม้า เปิดม่านแล้วมองออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นกลุ่มควันขโมงเริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ยิ้มอย่างผู้กุมชัยชนะออกมา รอยยิ้มของนางเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าปริปาก
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินคนใหม่ผู้นี้เป็นหญิงสาวในหมู่บ้านชนบท ทว่าวิธีการของนางกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก เพียงแต่ผู้ใดให้ท้องของนางป่องขึ้นมาเล่า ตอนนี้คหบดีจางต้องพึ่งพาลูกในท้องที่จะเกิดมาของนางสืบทอดสกุลของเขาต่อ
“ฮูหยิน ไม่อย่างนั้นพวกเราไปก่อนเถิด? ไม่เช่นนั้นคนในหมู่บ้านจะพบว่า…”
“พบอะไร? เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ผู้ใดจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นข้าที่วางเพลิง?”
ไม่นานหลังจากนั้น ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวว่า ‘ไฟไหม้แล้ว’
“ไฟไหม้แล้ว!”
“ดูเหมือนจะอยู่ที่บ้านจู๋จือ”
“จู๋จือไม่ได้ออกไปข้างนอกกระมัง?”
ไฟเริ่มโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้จะลุกลามไปทั่วบริเวณนั้นแล้ว
“รีบช่วยคนเร็วเข้า!” มีคนร้องขึ้นมา “จู๋จืออยู่ข้างใน!”
“ไฟแรงขนาดนี้ ขนาดยังไม่ได้เข้าไปช่วยก็เกรงว่าจะถูกไฟคลอกตายก่อน” มีคนกล่าว “อย่างไรข้าก็ไม่กล้าเข้าไป พวกท่านอยากจะเป็นคนดีก็เข้าไปเองสิ!”
ชาวบ้านต่างมองหน้ากันไปมา
เปลวไฟนั้นประหนึ่งมังกรคำราม ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเสี่ยงตาย
เมื่อพวกเขานึกถึงแม่นางน้อยที่แสนบอบบางดั่งดอกไม้ จู่ ๆ ก็เกิดความเห็นใจขึ้นมา
“ตอนนั้นควรแต่งนางออกไปเสีย จะได้ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้กับนาง”
“เฮ้อ กล่าวถึงเรื่องเหล่านั้นตอนนี้ก็สายไปแล้ว นังหนูผู้นั้นมีชีวิตที่ยากลำบาก เกิดมาก็พิฆาตมารดา ต่อมาก็พิฆาตยาย ตอนนี้ดีนัก พิฆาตตนเองเสียแล้ว”
หลิวจิ่วจู๋ยืนถือตะกร้าอยู่ข้างหลัง “บ้านข้า…”
เมื่อทุกคนเห็นหลิวจิ่วจู๋ก็เป็นต้องตกตะลึง
“จู๋จือ เจ้าไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือ?”
หลิวจิ่วจู๋สีหน้าไม่น่าดูชมขึ้นมา “ข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่เช้าแล้ว”
“เมื่อครู่นี้ได้ยินเสียงจากข้างใน เจ้าไม่อยู่ข้างใน แล้วผู้ใดอยู่ข้างในเล่า?” มีคนเอ่ยถาม “หรือว่าเป็นนังหนูชิงซือ? นางเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า มักจะมาที่บ้านเจ้าอยู่บ่อยครั้ง”
“ไม่มีทางเป็นชิงซือ วันนี้ชิงซือไปหาคนที่บ้านพี่สะใภ้นางแล้ว” หลิวจิ่วจู๋กล่าว
“ไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่ชิงซือ เช่นนั้นเป็นผู้ใด?”
ชาวบ้านไม่เข้าใจเรื่องราว
“โธ่เอ้ย ยายเฒ่า ยายเฒ่าบ้านข้าอยู่ข้างใน!” หลิ่วซานเฉวียนปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นมังกรไฟเบื้องหน้า เขาก็ตบต้นขา กล่าวอย่างกระวนกระวายใจ “พวกเจ้ารีบช่วยคนเร็วเข้า ยืนโง่ทำอะไรอยู่ตรงนี้? พวกเจ้ารีบไปช่วยคนเถิด ยายเฒ่าของข้าอยู่ข้างใน เช่นนี้จะไม่ถูกเผาตายทั้งเป็นหรือ? รีบช่วยคนเร็วเข้าสิ!”
“อวี๋ซื่ออยู่ในนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว นางอยู่ข้างใน!”
“นางเข้าไปทำอะไรในนั้น?”
“ยามนี้ใช่เวลาพูดเรื่องเหล่านี้หรือไร? ช่วยคนก่อนสิ!”
ชาวบ้านต่างก็ถอยห่างออกไปสองสามก้าว
นั่นหมายความว่า ‘อยากช่วยท่านก็ช่วย พวกเรายังไม่อยากตาย’
ไฟไหม้ใหญ่โตเพียงนี้ หากช่วยได้ พวกเขาย่อมไม่เพิกเฉย อวี๋ซื่อผู้นั้นแม้จะเป็นที่รังเกียจเพียงใดก็นับเป็นชีวิตหนึ่งกระมัง? แต่การบุ่มบ่ามเข้าไปในสถานการณ์นี้ ย่อมไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย
นอกจากนั้น ไฟลุกโชนเพียงนี้ แม้คนจะอยู่ข้างในจริง ๆ ก็เกรงว่าคงถูกเผาตายแล้ว