สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1138 ตอนพิเศษ (37)
บทที่ 1138 ตอนพิเศษ (37)
ในคุก นักโทษชั้นเลวหลายคนเตะต่อยชายร่างผอมผู้หนึ่ง
นักโทษหลายคนในห้องขังข้างเคียงมองภาพนั้น ดวงตาแต่ละคนล้วนว่างเปล่า
ชายร่างผอมร้องคร่ำครวญอ้อนวอนขอความเมตตา ทว่าเหล่านักโทษยังคงไม่ยอมปล่อยเขาไป
“จำไว้นะ อาหารในห้องขังทั้งหมดที่ได้รับการแจกจ่ายจะต้องมอบให้พวกเราเพื่อแสดงความกตัญญู หากข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนหมั่นโถวไว้อีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
ชายร่างผอมกุมหัวแล้วนั่งตัวสั่นอยู่ที่นั่น
เมื่อนักโทษเหล่านั้นเหนื่อยจากการทุบตีก็กลับไปยังที่ของตนเอง เขาถึงกล้าที่จะนอนลงแล้วส่งเสียงครวญครางออกมา
“พี่ใหญ่ เขาจะไม่โดนทุบตีตายกระมัง?”
“ไม่ ข้ายังออมมือไว้หลายส่วน”
นักโทษหลายคนนั่งกินหมั่นโถวแสดงความกตัญญูที่นักโทษคนอื่นยกให้อยู่ตรงนั้น
หมั่นโถวล้วนทำจากธัญพืช มีรสเผ็ดร้อนแสบคอเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม นักโทษจะได้รับเพียงสองมื้อต่อวันเท่านั้น แต่ละมื้อมีเพียงแค่โจ๊กหนึ่งถ้วยที่ใสจนสามารถมองเห็นราวกับกระจกได้กับหมั่นโถวธัญพืชดังกล่าว ในสายตาของพวกเขา หมั่นโถวธัญพืชนี้อร่อยยิ่งนัก
ในยามนี้เอง นักการก็ปรากฏตัวขึ้น
นักการเอ่ยกับชายร่างผอมที่อยู่ข้างในว่า “หลิ่วจินเปย เจ้าออกมาได้แล้ว”
เมื่อชายร่างผอมผู้นั้นได้ยินชื่อของตนก็รู้สึกเหมือนกับกำลังฝันไป
“จะไปหรือไม่ไป? ไม่ไปข้าจะปิดแล้ว”
ชายร่างผอมหรือหลิ่วจินเปยใช้มือกับเข่าตะกุยตะกายลุกขึ้น ขณะเดินผ่านนักโทษที่รังแก เขาพลันตัวสั่นสะท้านจึงรีบกุลีกุจอออกไปเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลังออกจากประตูห้องขัง เขาก็เอ่ยเสียงสั่นเทา “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงปล่อยข้าออกไปเล่า?”
ครั้งนี้เขาประสบปัญหาใหญ่ ไม่ถูกฆ่าก็ดีแล้ว เพียงแค่ถูกขังอยู่ในคุก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้ออกจากคุกโดยรักษาชีวิตไว้ได้
“หากมีคนยินดีจ่ายเงินจำนวนนี้ให้เจ้า แน่นอนว่าเจ้าสามารถออกมาได้” ผู้คุมกล่าว “เจ้าโชคดีไม่เลว เพียงแต่ คราวหน้าหัดใช้สมองบ้าง อย่าได้ตกมาอยู่ในมือเราอีก”
ไม่ถูก เงินค่าไถ่ตัวไม่ใช่ถูก ๆ แม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจก็คงไม่สามารถจ่ายได้
เพียงแต่นอกจากพวกเขาแล้ว ในโลกนี้ยังมีใครที่จะใจดีเพียงนี้อีก? ตอนนี้หลิ่วจินเปยก็เหมือนหนูที่กำลังข้ามถนน ผู้ใดต่างก็ตะโกนด่าว่าทุบตี หวังว่าเขาจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก จะดีที่สุดหากตายอยู่ในคุก
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? รู้เพียงแค่เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง”
ผู้คุมเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้แล้วหันหลังจากไป
หลิ่วจินเปยพึมพำ “หญิงสาว… หญิงสาว… หญิงสาว…”
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ในยามนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายสดใส
“จักต้องเป็นซิ่วหลานเป็นแน่” หลิ่วจินเปยกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ “ข้ารู้ว่านางไม่มีทางเมินเฉยต่อข้า ข้ารู้ว่านางติดตามคหบดีจางผู้นั้นเพราะถูกบีบบังคับ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางรอดพ้นจากคุกได้”
เมืองโจว หลิวจิ่วจู๋มองไปยังลานบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมตรงหน้าแล้วกล่าว “บ้านหลังนี้แหละ”
หลิวจิ่วจู๋พยักหน้า “ด้วยเงินเก็บที่ข้ามี จ่ายได้เพียงเท่านี้”
นี่เป็นเงินที่นางได้จากการนำเครื่องประดับที่แม่ของนางทิ้งไว้ไปจำนำ มิเช่นนั้น แม้กระทั่งบ้านที่ทรุดโทรมแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถซื้อได้ ท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็คือเมืองโจว ที่ดินราคาแพงทุกตารางนิ้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดามีปัญญาเป็นเจ้าของ
แน่นอนว่าจี้หยกที่สำคัญที่สุดไม่ได้ถูกนำไปจำนำ ของชิ้นนั้นคงเป็นของที่บ่งบอกตัวตนของนาง ถึงแม้ว่าหลิวจิ่วจู๋จะไม่เคยคิดตามหาคนในครอบครัว ทว่านางก็ยังอยากเก็บของสิ่งนั้นเอาไว้ ประการแรก อย่างไรนั่นก็เป็นของชิ้นสุดท้ายที่แม่นางทิ้งไว้ให้ ประการที่สองก็เพื่อย้ำเตือนตนเองให้นึกถึงรากเหง้าที่แท้จริงของตนอยู่เสมอ เมื่อเวลาผ่านไป นางจะได้ไม่ลืมที่มาของตน ประการที่สาม หากจี้หยกถูกขายออกไปข้างนอก อาจดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้
นายหน้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าว “อยากเข้าไปดูหรือไม่?”
“แน่นอนว่าต้องดูก่อน” หยางชิงซือกล่าว “ก่อนจะเขียนสัญญาจักต้องตรวจดูให้ถี่ถ้วน จะได้ไม่เขียนหนังสือสัญญาแล้วมาเสียใจภายหลัง”
เมื่อครู่นายหน้าบอกทุกอย่างอย่างชัดเจน อีกทั้งสภาพภายในก็เหมือนกับที่เขาบอกทุกประการ
บ้านหลังนี้ไม่เล็ก ทว่าอยู่มานานแล้วจึงทรุดโทรมไปบ้าง
ถึงแม้จะมีกระเบื้องคุ้มศีรษะ ทว่าผนังด้านในกลับผุพัง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เรียกได้ว่านอกจากกระเบื้องแตก ๆ ที่คุ้มหัวและมูลค่าของที่ดินแล้ว บ้านทรุดโทรมหลังนี้ก็ไม่มีค่าแม้แต่น้อย
“ได้ เอาหลังนี้”
หยางชิงซือถอนหายใจ “ดูเหมือนพวกเราจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
เมื่อครู่ดูบ้านหลังอื่น ๆ มาหลายหลัง ภายในดีกว่าบ้านหลังนี้มาก ทว่าราคาก็สูงกว่ามากเช่นกัน
“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น สวนนี้ใหญ่มาก อีกทั้งยังมีบ่อน้ำอยู่ด้านใน ข้าเพิ่งดูมา บ่อนั้นต้องทำความสะอาดเสียก่อนจึงจะใช้งานได้”
หลิวจิ่วจู๋กับหยางชิงซือตามไปที่บ้านนายหน้าเพื่อทำเรื่องโอนบ้าน
หลิวจิ่วจู๋มองดูโฉนดในมือแล้วกล่าว “นับได้ว่าข้าเป็นคนมีบ้านในเมืองนี้แล้ว”
หยางชิงซือมองสถานที่ผุพังแห่งนั้น นางเผยอปากพะงาบ ๆ เอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ใช่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีเพื่อนบ้านอยู่ก็ได้!”
“บ้านข้าง ๆ ไม่มีเพื่อนบ้านหรือ?”
“ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเพื่อนข้างบ้าน หากแต่หมายถึงเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเจ้า ที่นี่ทรุดโทรมมาก ผู้ใดไม่รู้จะคิดว่ามันเป็นบ้านผีสิง”
หลิวจิ่วจู๋กล่าว “เอาละ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง เพื่อความปลอดภัย พวกเราไปซื้อกลอนดี ๆ กันเถอะ ขอเพียงมีกลอน อย่างน้อยก็ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังต้องซื้ออิฐกับกระเบื้องมาซ่อมแซมบ้านด้วย นี่เป็นอีกสาเหตุที่ข้าไม่กล้าซื้อบ้านแพงเกินไป ซื้อบ้านแล้ว ภายหลังยังมีค่าใช้จ่ายอีกมาก ข้าต้องประหยัดเงินเก็บที่มี ไม่เช่นนั้นคงทำได้เพียงกังวลเรื่องบ้านผีสิงแล้ว”
หยางชิงซือตามหลิวจิ่วจู๋ไปซื้อของ
“หากจงซู่เกินอยู่ที่นี่ เขาคงสามารถซ่อมบ้านให้เจ้าได้ อีกทั้งยังไม่คิดเงินด้วย”
หลิวจิ่วจู๋หันไปมองหยางชิงซือ “เจ้าคิดถึงเขาแล้วกระมัง?”
“ข้าคิดถึงเขาแล้วมีประโยชน์อะไร? สถานการณ์ทางบ้านเขาทำให้เรื่องข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้” หยางชิงซือกล่าว “ตอนนี้ข้าเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา เรื่องอื่นไม่ได้กังวลถึงเพียงนั้น”
“ไม่รู้ว่าสามีเป็นอย่างไรแล้ว” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “บ้านข้าถูกไฟไหม้ หากเขากลับมาหาข้าไม่เจอ ข้าเกรงว่าเขาจะกังวลใจ”
“ในหมู่บ้านมีคนเยอะเพียงนั้น เจ้ายังกลัวอีกหรือว่าจะไม่มีผู้ใดบอก? นอกจากนี้ข้าก็ยังต้องกลับหมู่บ้าน หากเขาหาเจ้าไม่เจอ เขาย่อมต้องมาหาข้า” หยางชิงซือกล่าว “เช่นนี้จะร้อนรนอะไร?”
หลิวจิ่วจู๋หาคนไปสอบถามเรื่องช่างก่ออิฐที่นางพอจ่ายได้ จากนั้นจึงเชิญคนมาซ่อมหลังคา
นางก่อกำแพงขึ้นใหม่เพื่อไม่ให้สูงเกินความสูงที่ทางการกำหนดและวางอิฐซ้อนกันเพื่อความแข็งแรง
นอกจากนี้ ยังตอกตะปูบนกำแพงด้วย หากผู้ใดคิดจะปีนข้ามกำแพงก็เตรียมถูกตอกเหมือนเม่นได้เลย
“เงินจ๋า เงิน…” หยางชิงซือมองดูตั๋วเงินค่อย ๆ ปลิวไปตาม ๆ กัน จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิวจิ่วจู๋ “พวกเราทั้งสองควรค่อย ๆ จัดการ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีเงินแม้แต่ซื้อผ้านวมด้วยซ้ำ”
“พวกเราทำหลังคากับกับกำแพงเองไม่ได้จึงต้องจ้างช่าง ส่วนที่เหลือคือทำความสะอาดลานบ้าน ปรับปรุงสวน ห้องต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เราทยอยทำไปเรื่อย ๆ เถอะ!”