สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1139 ตอนพิเศษ (38)
บทที่ 1139 ตอนพิเศษ (38)
ตกกลางคืน หลิวจิ่วจู๋เดินถือตะเกียงน้ำมันเข้าไปในห้อง
แม้ภายนอกจะดูน่าขนลุกขนชัน ทว่าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องนอน บรรยากาศกลับอบอุ่นสบายขึ้นมาทันที
วันนี้หลิวจิ่วจู๋กับหยางชิงซือใช้เวลาทั้งบ่ายทำความสะอาด เหลือแค่เพียงทำความสะอาดห้องนี้เท่านั้น
เตียงขนาดใหญ่ในห้องเพิ่งซื้อมา มันมีราคามากกว่าสิ่งของครึ่งหนึ่งในห้องรวมกันเสียอีก โต๊ะและเก้าอี้ที่เหลือซื้อมาจากร้านมือสองทั้งหมด ทว่ายังดูใหม่เอี่ยมมากกว่าเจ็ดส่วน คุ้มราคายิ่ง
“พรุ่งนี้พวกเราไปดูอีกเถอะ บางทีอาจมีเครื่องเรือนที่เหมาะกว่านี้” หยางชิงซือกล่าว “ข้าอยากจะทำความสะอาดห้องข้าง ๆ เสียหน่อย เช่นนี้ภายหน้าเข้าเมืองมาจะได้มีที่หลับนอน”
“เจ้าอยู่กับข้าก็ได้” หลิวจิ่วจู๋ถอดเสื้อคลุมออกแล้วพาดไว้ตรงนั้น
“ตอนนี้ข้าอยู่กับเจ้าได้ แต่หากสามีเจ้ากลับมา ข้ายังจะอยู่กับเจ้าได้หรือ? เช่นนั้นสามีเจ้าจะทำอย่างไร?” หยางชิงซือเอ่ยล้อนาง
หลิวจิ่วจู๋ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดของหยางชิงซือ ภาพที่ลู่ฉาวจิ่งจูบหน้าผากนางก็ผุดขึ้นมาในหัว ทันใดนั้นใบหน้าหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวกับเมฆสะท้อนแสงยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า
“ไอหยา เจ้าคิดถึงสามีเจ้าแล้วใช่หรือไม่? หน้าเจ้าแดงเพียงนี้ นี่กำลังคิดเรื่องน่าอายอยู่หรือ?”
“ไม่ใช่!” หลิวจิ่วจู๋นอนลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตนเอง
หยางชิงซือปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วจั๊กจี้เอวสหาย “ดีนี่ ตอนนี้กับพี่น้องที่แสนดีเจ้าก็ไม่ซื่อสัตย์อีกต่อไปแล้ว”
“อย่าเล่น ข้าจั๊กจี้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ อย่าเล่นสิ ชิงซือ…”
หยางชิงซือกับหลิวจิ่วจู๋หยอกล้อกันอยู่บนเตียงเป็นนานสองนาน
กระทั่งลมพัดตะเกียงน้ำมันดับลง แสงไฟสลัวในห้องหายไป สตรีทั้งสองจึงหยุดเล่น
หลิวจิ่วจู๋คว้ามือหยางชิงซือไว้พลางกล่าวเสียงสั่น “ชิงซือ นอนเถอะ ข้าง่วงแล้ว”
“เจ้าไม่ได้ง่วงแต่กลัวมากกว่ากระมัง?” หยางชิงซือเปิดโปงความคิดของนาง “วันนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ แต่พรุ่งนี้เจ้าจะทำอย่างไร? หากยังเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าจะกลัวเพียงใดเล่า!”
“ข้า…”
“ตอนนี้ด้วยเงินเล็กน้อยของเจ้าไม่อาจจ้างบ่าวรับใช้ได้”
“เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าเลี้ยงสุนัขเสีย!” หยางชิงซือเกิดความคิดขึ้นมา “เจ้าเป็นสตรีผู้เดียวอยู่ที่บ้านไม่ปลอดภัยนัก ถึงแม้จะลงกลอนทุกวัน แต่หากมีคนมาจับตาดูเจ้า เจ้าก็คงตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นง่าย ๆ”
“ความคิดนี้ไม่เลว เช่นนั้นก็เลี้ยงสุนัขเเถอะ”
พี่หญิงน้องหญิงทั้งสองเหนื่อยล้า เมื่อมีความคิดดี ๆ ทั้งคู่ก็ผล็อยหลับไปข้าง ๆ กัน
เช้าตรู่วันต่อมา แทนที่พวกนางจะรีบทำความสะอาดบ้าน กลับออกไปเลือกสุนัขตัวหนึ่งแทน
สุนัขหาได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกนางต้องการเลี้ยงไม่ใช่สุนัขที่เป็นสัตว์เลี้ยงเช่นนั้น หากแต่เป็นสุนัขที่มีนิสัยดุร้าย สามารถเฝ้าบ้านเรือนได้
เพื่อที่จะตามหาสุนัขตัวหนึ่ง ทั้งสองจึงเดินทางไปหลายแห่ง ในที่สุดก็พบลูกสุนัขที่ดุร้ายตั้งแต่กำเนิด
ลูกสุนัขมีเจ้าของใหม่ ยังไม่คุ้นกับเจ้าของมากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขกัด เจ้าของคนก่อนจึงใช้ที่ครอบไม้ไผ่ครอบปากมันไว้ ส่วนจะกินอย่างไร นี่ก็ไม่ต้องรีบร้อน รอให้สุนัขตัวนี้หิวก่อน รอจนมันเข้าใจสถานการณ์ตนเอง ค่อยปล่อยให้มันกินของที่วางไว้ให้ เมื่อเวลาผ่านไปมันจะค่อย ๆ ยอมรับเจ้าของใหม่เอง
“จู๋จือ เจ้าดูสิว่านั่นใช่หลิ่วจินเปยหรือไม่?” หยางชิงซือดึงแขนเสื้อของหลิวจิ่วจู๋
หลิวจิ่วจู๋มองตามสายตาของหยางชิงซือไปจึงเห็นหลิ่วจินเปยดังคาด
หลิ่วจินเปยดูตกต่ำลงกว่าเดิมมาก ขณะเดินผ่านก็พูดพล่ามไม่หยุด เขาทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ผู้ไม่รู้คงคิดว่ากำลังจะทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง
“ไม่ต้องไปสนใจเขา”
“เขาไม่ได้ติดคุกหรือ? เหตุใดจึงออกมาแล้วเล่า?”
“ผู้ใดจะไปรู้?”
“เจ้าคิดว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่ามารดาของตนตายแล้ว? ข้าว่าเขาไม่รู้ มารดาของเขายังไม่ได้ถูกฝัง หากเขารู้ ตอนนี้คงกลับไปดูมารดาตนที่หมู่บ้านแล้วกระมัง?”
หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “อันที่จริงข้าใช้เงินจำนวนหนึ่งไถ่ตัวเขาออกมา”
“ว่าอย่างไรนะ?!” หยางชิงซือเบิกตาจ้องมองสหาย “คุณหนูใหญ่ แม้กระทั่งบ้านเจ้ายังซื้อบ้านผีสิงที่ถูกที่สุด เหตุใดจึงใช้เงินไถ่ตัวเขาออกมาเล่า? นี่ไม่ใช่เปลืองเงินไปเปล่า ๆ หรือ?”
“เพียงแค่ห้าร้อยอีแปะเท่านั้น” หลิวจิ่วจู๋กล่าว
“ถูกเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่สิ ห้าร้อยอีแปะเท่ากับครึ่งเหรียญเงิน นั่นเพียงพอที่จะให้เจ้ากับสามีของเจ้าใช้ชีวิตได้อีกหลายเดือนเชียว” หยางชิงซือเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงอยากไถ่ตัวเขาเล่า?”
หลิวจิ่วจู๋เม้มริมฝีปากไม่กล่าวสิ่งใด
“เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่?”
หลิวจิ่วจู๋พยักหน้า
“เจ้าตั้งใจปล่อยเขาออกมา จากนั้นค่อยแก้แค้นเขาหรือ?”
เมื่อหยางชิงซือถามประโยคนี้ นางก็เห็นว่าหลิวจิ่วจู๋มีสีหน้าลังเล เท่านี้ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด
พี่น้องผู้นี้ของนางคิดอะไร เพียงแค่มองสีหน้าก็รู้ได้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันพี่น้องหลายปีมานี้ก็ไม่ได้เป็นของปลอม หยางชิงซือรู้จักหลิวจิ่วจู๋ดีกว่าตัวนางเองเสียอีก
“เอาละ หากเจ้าไม่อยากให้ข้ารู้ ข้าก็จะไม่ถามมากความ” หยางชิงซือเอ่ย “เพียงแต่เราตกลงกันไว้แล้วว่าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็เพียงแค่มาหาข้า หากเห็นข้าเป็นคนนอก ข้าจะโกรธแล้ว!”
“วางใจเถอะ ข้าเห็นผู้ใดเป็นคนนอกได้แต่ไม่มีทางเห็นเจ้าเป็นคนนอก”
สองพี่น้องเดินผ่านหลิ่วจินเปยไป
หลิ่วจินเปยนั่งยอง ๆ อยู่ริมถนน มองร้านผ้าไหมฝั่งตรงข้าม
ร้านผ้าไหมที่ว่าเป็นหนึ่งในกิจการของคหบดีจาง
เกี้ยวที่ถูกหามมาหยุดลง
สาวใช้เปิดม่านออก พาสตรีด้านในเดินลงมา
กายฝางซิ่วหลานประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา รูปลักษณ์ที่สวยงามเป็นทุนเดิม ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหยาบกระด้าง เพราะถูกแต่งแต้มเสียหนาเตอะ แม้กระทั่งผิวพรรณที่เนียนละเอียดยังถูกกลบไปหมด
หลิ่วจินเปยเห็นฝางซิ่วหลานก็วิ่งโร่ไปหานางอย่างดีอกดีใจ
“หลานเอ๋อร์….”
ฝางซิ่วหลานได้ยินคำเรียกขานที่คุ้นเคยจึงหันกลับไปมอง
เมื่อเห็นหลิ่วจินเปย สีหน้าของนางพลันไม่น่าดูชมขึ้นมา
นางเอ่ยกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “หยุดเขาไว้ อย่าได้ให้เขาเข้ามาใกล้ข้า”
หลิ่วจินเปยเดิมใกล้ตามฝางซิ่วหลานทันแล้ว ทว่าจู่ ๆ ก็มีผู้คุ้มกันหลายคนเข้ามา ผู้คุ้มกันเหล่านั้นจับหลิ่วจินเปยไว้แล้วลากเขาออกไป ร่างของฝางซิ่วหลานจึงยิ่งไกลออกไปเรื่อย ๆ
“หลานเอ๋อร์…”
ฝางซิ่วหลานเข้าไปในร้านผ้าไหม เมื่อเห็นว่าหลิ่วจินเปยถูกพาออกไปแล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต๊ก ๆ! แต๊ก ๆ!
เสียงดีดลูกคิดดังขึ้น
ผู้จัดการร้านเอ่ย “ฮูหยิน การหลบหน้าเช่นนี้ไม่ใช่หนทางที่ดี ดังคำกล่าวที่ว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า หลิ่วจินเปยก็เหมือนกับคนเท้าเปล่า ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว หากทำให้เขากระวนกระวายใจ เกรงว่าภายหลังเขาจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ฮูหยิน”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” ฝางซิ่วหลานขมวดคิ้ว “หากข้าไม่หลบเขา เกิดเขาโมโหขึ้นมา ด้วยนิสัยของเขา เกรงว่าจะยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ข้าจริง ๆ เขาไม่ได้ติดคุกอยู่หรือ เหตุใดถึงปล่อยออกมาแล้ว? หรือว่านายท่านทำเพื่อข้าจึงไปขอให้นายอำเภอปล่อยคนโดยเฉพาะ?”
ผู้จัดการร้านคิดคำนวณบัญชีเสร็จแล้วจึงบอกกับฝางซิ่วหลาน “ฮูหยิน บัญชีคำนวณแล้ว ท่านสามารถตรวจสอบได้”
ฝางซิ่วหลานขาดความมั่นใจเล็กน้อย
ยังไม่ถึงคราวของนางที่จะต้องดูแลเรื่องบัญชี
แน่นอนว่า นางอ่านตัวอักษรได้เพียงไม่กี่ตัวจึงไม่อาจดูแลกิจการของสกุลที่ใหญ่โตเพียงนี้ได้
นางเพียงแค่อยากจะเลือกดูผ้า ทุกครั้งที่นางมาที่นี่ นางก็มาในนามของเถ้าแก่เนี้ยและมักจะนำผ้าพับสวย ๆ ติดตัวกลับไปมากมาย
“วางไว้ตรงนั้น รอเจ้านายของพวกเจ้าเข้ามาค่อยมอบให้เขา ข้าอยากจะจัดการดูแลอยู่หรอก เพียงแต่เจ้าก็เห็น ข้ามีทายาทของสกุลจางอยู่ในท้อง ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปได้”
“ขอรับ”
ฝางซิ่วหลานเลือกดูผ้า จากนั้นก็สั่งให้คนของนางนำผ้าไป
ครั้นฝางซิ่วหลานเดินออกจากร้านพร้อมกับของห่อเล็กห่อใหญ่ นางก็บังเอิญพบหลิวจิ่วจู๋ที่กำลังเดินมาจากถนนฝั่งตรงข้าม มุกปะการังที่อยู่ในมือนางพลันร่วงกราวลงกับพื้นทันที