สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 115 มีสุนัขตัวอื่นมาดม
บทที่ 115 มีสุนัขตัวอื่นมาดม
บทที่ 115 มีสุนัขตัวอื่นมาดม
แควก!
ผู้ตรวจหนังสือฟางฉีกหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“นี่มันอะไรกัน? นอกจากการเจอผีผู้หญิงตอนกำลังเร่งรีบ ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ให้ได้อ่านบ้างเลยหรือ?”
“เคยได้รับการช่วยเหลือเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เมื่อโตขึ้นจึงคิดจะตามหาบุคคลผู้นั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ น่ารำคาญเสียจริง ป่านนี้บุคคลผู้นั้นไม่หัวล้านผมร่วงไปหมดแล้วหรือ?”
มู่ซืออวี่จ้องมองชายชราที่กำลังพึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เดิมทีเขาเป็นคนเข้มงวดและค่อนข้างเสียงดัง นางควรจะรู้สึกประหม่าเมื่อได้พบเขา ทว่ามู่ซืออวี่กลับรู้สึกเอ็นดูชายชราผู้นี้อย่างไร้เหตุผล
ชายผู้นั้นพามู่ซืออวี่เข้ามาและจากไป ขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากห้อง เขาก็มองนางทิ้งท้ายด้วยความปรารถนาดี
คนที่นำหนังสือมาส่งด้วยตนเองครั้งสุดท้ายถูกผู้ตรวจหนังสือฟางด่าทอจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อเขามองมู่ซืออวี่ก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ไม่คู่ควรแม้แต่จะอ่านหนังสือ นับประสาอะไรกับการเขียนหนังสือ
“เจ้า…” ชายชราพินิจมองมู่ซืออวี่ “มาส่งต้นฉยับอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” มู่ซืออวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หากงานเขียนของเจ้าไม่ได้เรื่อง ข้าจะฉีกทิ้งในทันที หากไม่ต้องการโดนข้าด่าทอก็จงออกไปเสียตอนนี้”
“ท่านอ่านอย่างละเอียดก่อนเถิด”
มู่ซืออวี่ยื่นหนังสือให้เขา
ผู้ตรวจหนังสือฟางตะคอกอย่างเย็นชาก่อนจะเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่านดู
เมื่อได้เริ่มอ่านเนื้อหา คิ้วที่เคยขมวดของเขาก็คลายออก ลมหายใจมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าต้องรอคอยอีกนานเพียงใด นางจึงมองไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินไปนั่ง
นางหันมองโดยรอบแล้วจึงหยิบ ‘หนังสือ’ ที่ถูกโยนลงบนพื้นขึ้นมา
อันที่จริงผลงานของนักเขียนผู้นี้ค่อนข้างดี แต่เหตุผลที่ผู้ตรวจหนังสือฟางฟังไม่ยอมรับอาจเป็นเพราะเนื้อหาหยาบคายเกินไป
ไม่แปลกใจที่นักเขียนมากมายขายผลงานของพวกเขาให้กับร้านหนังสือทั่วไป เพราะพวกเขาสันนิษฐานได้ว่าผลงานของตนจะไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ตรวจหนังสือฟาง และทุกอย่างจะจบลงเช่นเดียวกับผลงานนี้
“เนื้อหาของเรื่องนี้มีอีกมากน้อยเพียงใด?”
ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าผู้ตรวจหนังสือฟางหยุดอ่านหนังสือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้เขาจ้องมองมายังมู่ซืออวี่ด้วยแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความดุร้ายอย่างที่เคย
“ถูกเขียนไว้แล้วทั้งสิ้นสิบเล่ม ยังมีอีกเก้าเล่มที่กำลังจะตามมา” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ท่านชอบงานเขียนเรื่องนี้หรือไม่?”
“คนหนุ่มสองคนที่มีความบาดหมางในครอบครัวเลือกเส้นทางเดินที่แตกต่างกัน เรื่องราวของเจ้าแปลกใหม่ สอนใจผู้คนได้เป็นอย่างดี”
“แล้วท่านจะรับหรือไม่?”
“รับ”
“เอ่อ…”
“หากต้องการตีพิมพ์หนังสือพร้อมลงนามในหอหนังสือหงเหวิน ก่อนอื่นเจ้าต้องทราบกฎของเราก่อน กฎข้อที่หนึ่ง ระดับและคุณภาพของหนังสือแต่ละเล่มไม่ควรต่ำไปกว่านี้ กฎข้อที่สอง เจ้าต้องส่งงานเขียนให้ข้าตรงเวลา อย่าชักช้าแม้เพียงเสี้ยววินาที เว้นแต่จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำได้หรือไม่?”
“ทำได้แน่”
“กฎข้อที่สามสำคัญที่สุด หลังจากลงนามกับหอหนังสือหงเหวินของเราแล้ว งานเขียนนี้จะเป็นของเราโดยสมบูรณ์ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี เจ้าจะไม่สามารถขายให้กับผู้อื่นได้”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนสมัยก่อนจะให้ความสนใจกับปัญหาด้านลิขสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดยิ่ง
“หนังสือหนึ่งเล่มมีราคา 50 ตำลึง วันนี้ข้าจ่ายให้เจ้าเท่านี้ต่อหนึ่งเล่ม” ผู้ตรวจหนังสือฟางกล่าว “หลังจากที่ข้าลงนามในใบนี้แล้ว เจ้าก็สามารถนำไปรับเงินได้”
หลังจากออกจากหอหนังสือหงเหวิน มู่ซืออวี่ก็จ้องมองท้องฟ้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ”
มู่ซืออวี่เดินผ่านสายลมไปพร้อมเงินมากมายในอ้อมแขน
“น้องสะใภ้อวี่ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
“จริงหรือ?” มู่ต้าหนิวเอ่ยถามอย่างมีความสุข
มู่ซืออวี่ขอให้มู่ต้าหนิวพาไปยังร้านค้าต่าง ๆ เพราะหากได้สำรวจบริเวณโดยรอบ รวมถึงสินค้าที่พวกเขาค้าขายก็อาจทำให้นางมีความคิดแปลกใหม่ขึ้นมาได้
กิจการจัดเลี้ยงยังไม่ถือเป็นกิจการที่น่าจับตามอง เพราะไม่เพียงทำเงินได้ไม่มาก แต่ยังต้องจัดการหลายอย่างซึ่งทำให้เสียเวลา นางเป็นนักออกแบบข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดในอนาคตคือการพัฒนางานเดิมที่เคยเชี่ยวชาญ
งานเขียนหนังสือเป็นงานที่นางหามาให้กับลู่เซวียน เขาจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวัน
ในเวลาเที่ยง เกวียนวัวจอดอยู่นอกศาลาว่าการ มู่ซืออวี่และมู่ต้าหนิวจ้องมองไปยังประตูใหญ่เพื่อรอลู่อี้
“นั่นคือภรรยาของลู่อี้ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว”
“มีเรื่องให้เราได้ชมเป็นแน่”
มู่ซืออวี่รู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นจ้องมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด อีกทั้งยังกล่าวบทสนทนาแปลกประหลาด กำลังจะมีเรื่องให้ชมหมายความว่าอย่างไร?
“มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“สะใภ้ลู่ สามีของเจ้าอยู่ด้านใน เชิญเข้าไปหาเขาเถิด!”
“ใช่แล้ว เชิญเข้าไปหาเขาเถิด!”
“ไม่เป็นไร ข้าจะรอเขาที่นี่”
ทันใดนั้น ร่างของชายผู้หนึ่งที่คุ้นเคยก็เดินออกมา ในขณะที่หญิงสาวผู้งดงามเดินตามมาด้านหลัง
ใช่แล้ว หญิงสาว
หญิงผู้นั้นดูมีเสน่ห์อย่างมาก นางสวมกระโปรงสีส้มสดใส ติดที่กลัดผมสีทองอร่าม ดูเหมือนมาจากต้นตระกูลที่ดี
“พี่ลู่ ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่?”
“ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ อย่าตามมา” ลู่อี้กล่าวอย่างหมดความอดทน “ข้าไม่สนใจเรื่องของเจ้า”
“แล้วหากพี่ชายของข้าจัดการให้เล่า? จะไม่สนใจหรือ?” เฉินชุนอวี่เดินมาขวางหน้าชายหนุ่ม จ้องมองเขาอย่างเอือมระอา “สมองของเจ้าช่างไร้รอยหยัก”
“ข้ามีครอบครัวแล้ว ได้โปรดหยุดรบกวนข้า เดี๋ยวจะเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็นเสียเปล่า ๆ”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีครอบครัวแล้ว แล้วอย่างไรเล่า? ข้าตกหลุมรักเจ้า” เฉินชุนอวี่เอามือเท้าเอวแล้วกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของครอบครัวเจ้ามามากมาย ภรรยาของเจ้าอ้วนและน่ารังเกียจ อีกทั้งนางยังปากร้าย ข้าดีกว่านางไม่ใช่หรือ?”
มู่ต้าหนิวจ้องมองมู่ซืออวี่ที่ยืนเคียงข้างเขาอย่างประหม่า
“น้องสะใภ้อวี่ ลู่อี้ไม่ได้สนใจนาง นางต่างหากที่รบกวนเขา”
การแสดงออกของมู่ซืออวี่นั้นราวกับไม่แยแส นางไม่อาจบอกได้ว่าตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่
ลู่อี้ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างจึงจ้องมองไปยังมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่กลอกตาแล้วเดินเข้าไปหาเขาอย่างเชื่องช้า
“ข้ามาที่นี่เพื่อชวนเจ้าไปกินมื้อเที่ยง”
เฉินชุนอวี่หันกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อเห็นหญิงร่างเพรียวยืนอยู่ตรงหน้า นางก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ผู้ใดมาก่อนก็ย่อมได้ก่อน ข้ามาหาพี่ลู่ก่อนเจ้า”
“ผู้ใดมาก่อนย่อมได้ก่อน คำนี้จะสู้คำว่าชอบธรรมได้อย่างไร ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีโอกาส หญิงที่มีสามีอยู่แล้วกลับพยายามข้องเกี่ยวกับสามีผู้อื่น อยากหย่าร้างไปเป็นหญิงม่ายหรือ?” มู่ซืออวี่มองเฉินชุนอวี่
“กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันคืนช่างยาวนาน คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกอ้างว้าง ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่การพยายามแย่งสามีผู้อื่นผิดศีลธรรมไม่ใช่หรือ? ท่านไม่รู้จักข้าใช่หรือไม่? ข้าคือนังอ้วนปากร้ายน่ารังเกียจที่ท่านพูดถึง”
“เจ้าเป็นภรรยาของเขาหรือ?” เฉินชุนอวี่จ้องมองมู่ซืออวี่ “คงใช่สินะ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด? ข้าคือน้องสาวของเฉินเซียนเฉิง”
“แล้วอย่างไร?”
“หากเขายอมแต่งงานกับข้า พี่ชายของข้าจะช่วยให้เขาก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ แล้วเจ้าเล่าทำสิ่งใดได้บ้าง?” เฉินชุนอวี่จ้องมองนาง “เพียงจินตนาการถึงอนาคตอันสดใสของชายผู้นี้ ข้าก็ไม่อาจยอมแพ้ได้”
ลู่อี้ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป “นั่นคือความปรารถนาของเจ้าเพียงผู้เดียว ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่สนใจเจ้า หากยังคงรบกวนข้าอยู่ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อเฉินเซียนเฉิง แล้วรอดูเถิดว่าเขาจะลงโทษน้องสาวของเขาอย่างไร”
เฉินชุนอวี่กระทืบเท้าด้วยความโกรธขณะเฝ้าดูลู่อี้จูงมือหญิงตรงหน้าจากไป
“วิธีนี้ไม่ได้ผล” เสียงของบุคคลหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
เฉินชุนอวี่หันกลับมาพลางเอ่ยถาม “เจ้าคือผู้ใด?”
“ไม่สำคัญว่าข้าคือผู้ใด แต่สิ่งสำคัญคือเจ้าไม่อาจจับลู่อี้ให้อยู่หมัดได้ จะจัดการกับเขา เจ้าต้องใช้วิธีอื่น”
ทางด้านลู่อี้นั้นมองฝ่ามือที่ประสานกันของเขาและมู่ซืออวี่
หญิงข้างกายเขาค่อนข้างเงียบขรึม เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดูท่าว่าไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าทั้งสองกำลังจับมือกัน
มู่ต้าหนิวรู้สึกอึดอัดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“เราจะไปที่ใดกันหรือ?” มู่ต้าหนิวเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่ราวกับฟื้นคืนสติกลับมา นางจ้องมองโดยรอบแล้วชี้ไปยังร้านเป็ดย่างที่อยู่ไม่ไกล “เราไปกินเป็ดย่างกันเถิด!”
“หา? ไม่แพงไปหน่อยหรือ?” มู่ต้าหนิวกล่าว “เช่นนั้นข้าจะรอคอยเจ้าทั้งสองอยู่ที่ตรอก เกรงว่าอาจจอดเกวียนวัวไม่สะดวก”
“มีที่จอดสำหรับเกวียนวัวอยู่หลังร้านเป็ดย่าง” มู่ซืออวี่กล่าว “วันนี้เจ้าเชื่อฟังข้าเถอะ”
หลังกล่าวจบ นางก็รู้สึกได้ว่าตนยังคงจับมือลู่อี้อยู่ จึงรีบปล่อยมืออย่างไม่สบอารมณ์
หลังจากที่ทั้งสองปล่อยมือ นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้มีสุนัขอื่นพยายาม ‘ดอมดม’ เนื้อของนาง
ไม่แปลกใจที่นางจะรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้