สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1154 ตอนพิเศษ (49/1)
บทที่ 1154 ตอนพิเศษ (49/1)
ป้าจงร้องห่มร้องไห้โวยวายไม่หยุดว่าจะแขวนคอตายที่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านจึงแห่กันมาดู
เมื่อไม่กี่วันก่อนนางโอ้อวดมากเพียงใด ตอนนี้นางก็อับอายมากเพียงนั้น
จงซู่เกินตัดสินใจแน่วแน่ที่จะแต่งกับ ‘ซู่ซู่’ ผู้นั้น ชาวบ้านจึงเล่าลือกันไปต่าง ๆ นานา
ป้าจงฟังคนยืนพูดไม่ปวดเอว*[1] พวกนั้นแล้วก็เริ่มมีปากเสียง สตรีพวกนั้นถึงกับพูดว่า ‘แม้เป็นบุรุษก็ถือเป็นลูกสะใภ้เช่นกัน จงซู่เกินชอบก็ใช้ได้แล้ว’ และอื่น ๆ อีกมากมาย จากที่ป้าจงได้ยิน เห็นได้ชัดว่าพวกนางกลัวโลกจะวุ่นวายโกลาหลไม่พอจึงจงใจราดน้ำมันบนกองเพลิงให้ครอบครัวของนาง
“หากรู้ว่าจะมีวันนี้ เหตุใดตอนนั้นจึงทำเช่นนั้นเล่า” อวี๋ซื่อพูดพลางแทะเมล็ดแตงโม “เมื่อก่อน ซู่เกิน เจ้าเด็กคนนั้นพึงใจหยางชิงซือ นางก็ขวางเขา ตอนนี้ดีนัก เขาไม่ชอบสตรีเปลี่ยนมาชอบบุรุษแล้ว ในความคิดข้า ซู่เกิน เจ้าเด็กนั่นซื่อจะตาย เพราะถูกมารดาบีบบังคับ ผู้นี้มิเข้าตาผู้นั้นมิพอใจ เขาเลยหาบุรุษสักคนมาแทน อย่างไรแม่เขาก็ไม่ชอบสตรีอยู่แล้ว”
“ป้าอวี๋ ใช้ได้นี่นา ช่างสำบัดสำนวนเสียจริง” สตรีข้าง ๆ เอ่ย “ท่านรู้หนังสือถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ข้าไม่เคยได้ยินคำพวกนี้มาก่อนเลย”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนลูกเขยชวนข้าไปฟังงิ้วในเมือง นั่นเป็นบทเพลงที่ร้องในงิ้วเชียวนะ ลูกเขยข้าเล่าเรียนมา อีกทั้งยังทำงานเป็นคนทำบัญชีอยู่ในเมือง พวกเจ้าก็รู้ ”
“ยังเป็นท่านที่โชคดี ลูกชายลูกสะใภ้กตัญญูรู้คุณ ลูกสาวกับลูกเขยก็กตัญญูเช่นกัน ไม่เหมือนบางคน ครอบครัวดี ๆ ครอบครัวหนึ่งถูกนางบงการจนไก่บินวัวกระโดดแล้ว…”
“สุนัขกระโดดต่างหาก”
“ไม่ต่างกันหรอก อย่างไรก็หมายความเช่นนั้น”
ป้าจงหวาดหวั่นอยู่เป็นทุนเดิม ยามนี้สตรีในหมู่บ้านต่างจับจ้องมาที่บ้านนางเพื่อรอชมละคร พวกนางดูละครติดต่อกันหลายวันแล้ว แถมยังมาพึมพำใกล้ ๆ หูนาง ช่างเกะกะสายตาเสียจริง
นางคว้าไม้กวาดข้าง ๆ ไล่ตีสตรีเหล่านั้น แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด “นังหญิงสารเลวพวกนี้ มารดายังไม่ถึงคราวให้พวกเจ้ามาวิจารณ์มั่ว ๆ ออกไป๊ ไสหัวไปจากที่นี่ประเดี๋ยวนี้!”
“โอ๊ย ระวังหน่อย นี่เป็นเสื้อใหม่ข้านะ!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น “ลูกสะใภ้ของข้าซื้อมาให้ ราคาแพงเชียวละ ไอหยา ลูกสะใภ้ของพี่สะใภ้จงคงมิได้เอาใส่ใจเพียงนั้น อย่างไรเสียบุรุษน่ะ…”
สตรีข้าง ๆ ต่างก็หัวเราะร่วน ป้าจงยิ่งโกรธมากขึ้นเพียงใดพวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีเพียงนั้น อย่างไรเสียไม่กี่วันก่อนป้าจงก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย
จงซู่เกินเดินออกมาแล้ว
ซู่ซู่ผู้นั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบบุรุษ คนงามผู้หนึ่งกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแทน
ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาสะสวย หากไม่ถูกคนเห็น ‘ร่างกายที่แท้จริง’ เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความแตกต่างของเขา
“ซู่เกิน เจ้ายังจะทำเรื่องเหลวไหลอยู่อีกหรือ!” หลินซื่อลูกสะใภ้คนโตของจงซื่อกล่าว “ท่านแม่ถูกเจ้าทำให้โกรธจนป่วยแล้ว”
“แยกบ้านเถอะ!” จงซู่เกินกล่าว “ภายหน้าพวกเราอยู่ใครอยู่มัน พวกท่านไม่ต้องห่วงว่าข้าจะทำให้ขายหน้า พวกเราจะใช้ชีวิตของเราเอง จะไม่ทำให้พวกท่านอับอายอีกต่อไป”
“ซู่เกิน เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้” หลินซื่อไม่พอใจ “ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ ผู้ใดจะแยกบ้านกัน?”
“พี่หยางชวนก็มิใช่แยกบ้านแล้วหรือ? ถึงแม้ท่านพ่อกับท่านแม่จะยังอยู่ แต่นี่เป็นสถานการณ์พิเศษย่อมต้องจัดการเป็นกรณีพิเศษ” จงซู่เกินเอ่ย “ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่พวกท่านคิดว่าข้าทำให้พวกท่านขายหน้าหรือไร? ตอนนี้ข้าก็คิดแก้ปัญหาเพื่อพวกท่านเช่นกัน”
จงซู่เกินตอนนี้มีเบี้ยเลี้ยงสิบตำลึงเงิน ก่อนหน้านี้หลินซื่อไม่เคยคิดจะแยกบ้าน ตอนนี้ยิ่งไม่คิดจะแยกบ้านเข้าไปใหญ่
ก่อนหน้านี้จงซู่เกินเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง ทำงานต่าง ๆ ให้ครอบครัวมากมาย บ้านใหญ่ก็ได้รับผลพลอยได้ไม่น้อย นางย่อมไม่คิดจะแยกบ้านกับจงซู่เกิน ตอนนี้จงซู่เกินร่ำรวยขึ้น นางยิ่งไม่เหลือความคิดที่จะแยกบ้านแม้แต่น้อย
“หากไม่แยกบ้าน ข้าแต่งกับซู่ซู่ไป ภายหน้าหลานชายทั้งสองของข้าย่อมถูกคนวิจารณ์ อนาคตยังไม่รู้ว่าหลานชายข้าจะแต่งภรรยาได้หรือไม่” จงซู่เกินเอ่ย “ยังมีหลานสาวอีก ไม่รู้ว่านางจะหาคู่ครองดี ๆ ได้หรือไม่ แน่นอนว่าข้านั้นอย่างไรก็ได้ พวกท่านไม่ถือสาก็ไม่ถือสาเถิด อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ในค่ายทหาร ซู่ซู่ก็มาจากค่ายทหารเช่นกัน เขาเองก็จะกลับไปกับข้า”
ทุกคน “…”
กล่าวกันตามตรง ไม่ว่าจะแยกบ้านหรือไม่ ถึงอย่างไรหากเขาไม่กลับมา ภรรยา ‘ชาย’ ของเขาก็ย่อมไม่กลับมาเช่นกัน
“ซู่เกินเอ๋ย แม่คิดกระจ่างแล้ว เจ้าชอบนังหนูชิงซือผู้นั้นไม่ใช่หรือ? มิเช่นนั้นเจ้ายังคงแต่งกับนางเถิด!” ป้าจงดึงชายเสื้อของจงซู่เกินเอาไว้
การร้องไห้นั้นไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็คิดถึงเรื่องที่มีประโยชน์หน่อยดีกว่า
หยางชิงซือ นังเด็กคนนั้นดุร้าย หากแต่งนางกลับมา บางทีอาจควบคุมจงซู่เกินได้ นอกจากนี้ จงซู่เกินชอบพอนางมาหลายปี ทั้งยังมีความรู้สึกดี ๆ ต่อนางมาโดยตลอด ไม่ว่าซู่ซู่จะหน้าตาดีเพียงใดก็เป็นบุรุษ บุรุษกับสตรีนั้นต่างกัน ถึงแม้ตอนนี้จงซู่เกินจะชอบบุรุษผู้หนึ่ง ทว่าขอเพียงเขาใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนก็จะเข้าใจ เมื่อเขาชอบคนสองคน แน่นอนว่าการเลือกสตรีย่อมสมเหตุสมผลกว่า
จงซู่เกินเริ่มลังเล
ป้าจงเห็นดังนี้ก็รู้ว่าพอมีวี่แววแล้ว
“ลูกรัก แม่จะไปสู่ขอชิงซือให้เจ้าประเดี๋ยวนี้?” ป้าจงลุกขึ้น
จงซู่เกินส่ายหัว “ช่างมันเถิด!”
“เพราะเหตุใด?” ป้าจงเริ่มกังวล “เจ้าไม่ได้ชอบนังหนูชิงซือผู้นั้นหรือ? นังหนูผู้นั้นเป็นคนขยันขันแข็งทั้งยังมีความสามารถ แต่งเข้าบ้านย่อมไม่เลวแน่นอน”
“ไม่ ๆ ๆ ๆ แม่มิได้ไม่ชอบนาง แม่เพียงไม่อยากให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนหน้านี้ครอบครัวเราไม่มีเงิน มอบสินสอดทองหมั้นที่ดีอะไรไม่ได้ ตอนนี้ต่างออกไป เจ้ารวยแล้ว เช่นนั้นพวกเราให้สินสอดทองหมั้นให้มากขึ้นสักหน่อยเถิด”
จงซู่เกินหันไปมองซู่ซู่ที่อยู่ข้าง ๆ
ซู่ซู่จับแขนจงซู่เกินไว้ “นางคงไม่ใจร้ายกับข้ากระมัง? ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกแล้วว่า ถึงอย่างไรท่านก็แต่งกับสตรีที่พึงใจไม่ได้ ยังไม่สู้ใช้ชีวิตอยู่กับข้า ท่านเคยบอกว่า…”
เสียงที่บ่งบอกว่าเข้าใจเรื่องราวแล้วดังมาจากข้างนอก
บรรดาผู้ชมละครไม่ได้ออกไปไกลนัก พวกนางยังคงอออยู่นอกลานบ้าน รอให้ปมค่อย ๆ คลี่คลาย หลังจาก ‘ซู่ซู่’ กล่าวคำนั้นออกมา ทุกคนก็ ‘เข้าใจ’ อารมณ์ของจงซู่เกิน
หลังจากรอมาครึ่งค่อนวัน ที่แท้ก็เป็นเพราะป้าจงไม่ยอมให้จงซู่เกินแต่งงานกับหยางชิงซือ เขารู้สึกสิ้นหวังจึงคิดจะใช้ชีวิตกับบุรุษ หมายความว่า เด็กคนนี้ยังคงเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในความรักผู้หนึ่งนี่เอง!
ป้าจงกล่าว “เจ้าไปให้พ้น ผู้ใดบอกว่าลูกชายข้าไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่พึงใจได้? ลูกชายข้าชอบผู้ใดก็จะแต่งกับผู้นั้น มารดาจะต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน เจ้าบอกมาว่าต้องการสินสอดเท่าใด แม่จะไปตระเตรียมประเดี๋ยวนี้”
จงซู่เกินหันกลับไปมอง “‘ซู่ซู่ มิเช่นนั้น รออีกหน่อยได้หรือไม่? หากหยางชิงซือมิยินดีแต่งให้ข้า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป”
“ถุย ๆ ๆ ๆ ชิงซือจะไม่แต่งกับเจ้าได้อย่างไร? นังหนูผู้นั้น… นางเป็นแม่นางที่ดีที่เติบโตมาด้วยกันกับเจ้า ไม่แต่งให้เจ้า นางจะแต่งให้ผู้ใด? เจ้าดูนางสิ แม้กระทั่งกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นพ่อค้าหาบเร่ยังไม่แต่งให้ นั่นก็เพื่อรอเจ้า เมียเจ้าใหญ่ เจ้ารีบหยิบกล่องข้างในออกมาให้ข้าเร็วเข้า! ข้าจะไปสู่ขอคน”
หลินซื่อไม่เต็มใจเท่าใดนัก
ป้าจงตื่นเต้นเพียงนี้ นางกลัวเหลือเกินว่าเลือดจะไหลหมดตัว พ่อแม่ของหยางชิงซือมิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันอะไร แม้กระทั่งลูกสาวตนยังขายเพื่อเงินได้ พวกเขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน
[1] คนยืนพูดไม่ปวดเอว : หมายถึง คนที่ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ