สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1165 ตอนพิเศษ (56/2)
บทที่ 1165 ตอนพิเศษ (56/2)
“เจ้าเป็นม่ายมาหลายปีเพียงนี้ มีลูกชายเพียงคนเดียว หากลูกชายเจ้าถูกนางปีศาจเหล่านั้นล่อลวงเข้าจริง ๆ แล้วไปติดโรคบางอย่างมา ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร!”
หลังจากอวี๋ชุนฮวาสาปแช่งแล้ว นางก็ฉวยโอกาสที่จางซื่อกำลังงุนงงวิ่งหนีไป แถมยังวิ่งไปพลางสาปแช่งไปพลาง ดูอัปมงคลเป็นอย่างยิ่ง
จางซื่อไม่มีอารมณ์จะซื้อของแล้ว
เมื่อครู่นางออกมา ตะกร้ายังว่างเปล่า
ตอนนี้สมองของนางขาวโพลนจำไม่ได้ว่าต้องซื้ออะไร ไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวต่อไปแม้เพียงก้าวเดียว
สิ่งที่อวี๋ชุนฮวากล่าวนั้นเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาที่นางอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้นางจะด่าทอสาปแช่งอย่างรุนแรง แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“โกหกข้า จักต้องโกหกข้าเป็นแน่!” ว่าแล้วจางซื่อก็หันหลังวิ่งกลับไป “สือจู้รู้ว่าบิดาของเขาตายอย่างไร จักต้องไม่มีทางตามรอยบิดาตนเป็นแน่”
ปัง! จางซื่อวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องของหวังสือจู้
เมื่อเข้าไปข้างในก็ไม่ทันสนใจสิ่งที่อยู่ตรงฝ่าเท้าจึงเตะเข้ากับอ่างไม้อย่างจัง
จางซื่อล้มฟุบลงกับพื้น
หวังสือจู้ตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นนั่ง
“มีอะไรอีก?” น้ำเสียงของเขาหมดความอดทนอย่างยิ่ง
จางซื่อเงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่คล้ายคลึงกับสามีที่เสียชีวิตไปแล้วของนาง ราวกับภาพความทรงจำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วทับซ้อนกันปรากฏขึ้น
เมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้ชายสารเลวนั่นถูกนางปลุกขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่งในลักษณะเดียวกัน เอ่ยถามนางว่า ‘มีอะไร’ ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน ทว่าโดยไม่คาดคิด คำพูดเหล่านั้นกลับกลายเป็นคำพูดสุดท้ายของเขา
“ลูกรัก เจ้าบอกแม่ที เจ้าทำงานที่ใดกันแน่?”
หวังสือจู้ขมวดคิ้ว “ไยจึงถามเรื่องนี้?”
“ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำงานที่ใดกันแน่?!” จางซื่อตะคอกเสียงดัง “หอเมามายใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่?!”
“เจ้าทำงานที่หอเมามายจริง ๆ!” จางซื่อนั่งลงบนพื้น ตบขาร้องไห้ฟูมฟาย “สวรรค์ เหตุใดต้องทำกับข้าอย่างนี้? เพราะเหตุใด?”
“ท่านแม่ ท่านหยุดโวยวายได้แล้ว ข้าปวดหัว”
“ปวดหัว? ใช่! ข้าจะไปเชิญท่านหมอมาให้ เจ้าผิดปกติไป ตอนนี้อาการเจ้าไม่ปกติยิ่ง…” จางซื่อลุกขึ้นวิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจเสียงเรียกของหวังสือจู้
จางซื่อพึ่งวิ่งออกมาก็ล้มลงกับพื้น
หลิวจิ่วจู๋บังเอิญผ่านมาพอดี จางซื่อจึงล้มลงแทบเท้านาง
“ท่าน…” หลิวจิ่วจู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงนางลุกขึ้น
จางซื่อหกล้มได้รับบาดเจ็บ ทว่าสมองของนางยังคงว่างเปล่า ดูเหมือนคนหลงทางจึงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจ
“ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”
จางซื่อร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
หยางชิงซือได้ยินเสียงจึงเดินออกมาถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”
เมื่อเห็นจางซื่อ หยางชิงซือก็จำได้ทันทีว่าเป็นหญิงชรารับมือยากข้างบ้านจึงบังหลิวจิ่วจู๋ไว้ข้างหลัง มองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง “ไยท่านต้องร้องไห้ จู๋จือของเราไม่ได้แตะต้องท่านแม้แต่น้อย ท่านอย่าได้คิดจะสร้างปัญหาให้นาง”
จางซื่อกำลังอยู่ในยามจิตใจเศร้าโศกพังทลาย คำพูดของหยางชิงซือราวกับเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ นางจึงแหลกสลายยิ่งกว่าเดิม
“เหตุใดชีวิตข้าถึงได้รันทดเพียงนี้ แม้กระทั่งก้อนหินบนพื้นยังรังแกข้า? ชีวิตนี้ของข้าช่างเหน็ดเหนื่อยเสียจริง ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า ข้าตายก็จบเรื่องแล้ว…”
ไม่ว่าหยางชิงซือจะเก่งกล้าเพียงใดก็ยังเป็นเพียงแม่นางน้อยเยาว์วัยผู้หนึ่ง เมื่อพบเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ นางจึงดึงแขนเสื้อของหลิวจิ่วจู๋แล้วกล่าวอย่างวิตก “จู๋จือ เจ้าไม่ได้แตะต้องนางกระมัง?”
“ข้าไม่ได้ทำนะ!” หลิวจิ่วจู๋ไม่รู้ว่าจางซื่อคิดจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
หรือว่านางจงใจ?
“เช่นนั้นนางคิดจะทำอะไรกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้”
“เช่นนั้นพวกเราไปเถอะ ไม่ต้องสนใจนางแล้ว”
หลิวจิ่วจู๋ก้าวไปข้างหน้าได้ก้าวหนึ่งก็เหลือบมองจางซื่อ เมื่อเห็นว่านางยังนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจึงเอ่ยแนะนำอย่างลังเล “ท่านป้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การร้องไห้ก็ไร้ประโยชน์ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา ไม่ใช่หลีกเลี่ยงปัญหา โลกนี้มีคนทุกข์ยากมากมาย นอกเสียจากเผชิญหน้ากับมันแล้ว การร้องไห้รังแต่จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น”
จางซื่อหยุดร้องไห้
นางเช็ดน้ำตา กล่าวทั้งสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าช่วยข้าเชิญท่านหมอมาได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าเดินไม่ได้ ขาสองข้างไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว”
“ท่านอย่าแม้แต่จะคิดสร้างความเดือดร้อนให้เรา!” หยางชิงซือมองนางอย่างหวาดระแวง
“ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยเชิญท่านหมอ ลูกชายข้าป่วย อยากจะเชิญท่านหมอมาตรวจเขา ข้าไม่ได้บอกว่าตนเองต้องการหมอ” จางซื่อตาแดงก่ำ “ขอร้องพวกเจ้าละ ข้าต้องการท่านหมอจริง ๆ”
ในยามนี้จางซื่ออ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
หยางชิงซือดึงหลิวจิ่วจู๋ไปหา “เจ้าอย่าใจอ่อนอีกเป็นอันขาด”
สิ้นคำ นางก็ลากหลิวจิ่วจู๋กลับเข้าไปในบ้าน
จางซื่อร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
นางรู้ว่าการร้องไห้นั้นไร้ประโยชน์ หากแต่นางโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง นอกจากร้องไห้แล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้นางขยับตัวไม่ได้ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปหมด มีเพียงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เท่านั้นจึงจะลุกขึ้นยืนได้
เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
จางซื่อเงยหน้าขึ้นมอง
หลิวจิ่วจู๋ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วกล่าว “ข้าจะส่งคนไปเชิญท่านหมอมาให้”
“จู๋จือ” หยางชิงซือจ้องมองนางอย่างไม่พอใจ “เจ้าเอาอีกแล้วนะ”
“ข้าเชื่อว่าท่านป้าต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ไม่ได้มาสร้างเรื่องให้ข้า” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ชิงซือ เจ้าช่วยข้าพยุงท่านป้าเข้าไปเถอะ นางนั่งอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก”
“เจ้าอยากเป็นคนดี ยังคิดจะดึงข้าเข้าไปด้วยอีก” หยางชิงซือพึมพำ “ข้ากลัวเจ้าแล้วจริง ๆ”
หลิวจิ่วจู๋ไม่ได้เชิญท่านหมอเอง ทว่าสั่งให้บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งไปจัดการเรื่องนี้
ส่วนนางกับหยางชิงซือช่วยกันพยุงจางซื่อกลับไปที่บ้านของอีกฝ่าย
บ้านจางซื่อค่อนข้างสะอาด เพียงแต่เก่าเกินไปจึงมีรูรั่วอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“ท่านป้า ท่านนั่งสักครู่ ประเดี๋ยวท่านหมอก็มาแล้ว” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ข้ากับสหายต้องกลับก่อน”
จางซื่อกล่าวด้วยขอบตาแดงก่ำ “ขอบคุณ”
ในยามสิ้นหวังเช่นนี้ คนที่นางไม่ชอบมาโดยตลอดกลับช่วยเหลือนาง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หญิงชราได้ลิ้มรสความละอายใจ
หวังสือจู้ได้ยินเสียงจากข้างนอกจึงเดินออกมา
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรอีก?”
หลิวจิ่วจู๋กับหยางชิงซือยังไม่จากไป เมื่อเห็นหวังสือจู้ออกมา ทั้งยังเอ่ยถามจางซื่อเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดจึงอธิบาย “ท่านป้าจางรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย พวกเราจึงช่วยพยุงนางกลับมาพัก นางบอกว่าท่านป่วย ต้องการท่านหมอ ข้าจึงให้คนไปเชิญแล้ว ไม่นานก็คงมา”
“ข้าไม่ต้องการท่านหมอ” หวังสือจู้ได้ยินว่าพวกนางเชิญท่านหมอมา สีหน้าพลันไม่น่าดูชม “พวกท่านอย่าได้มายุ่งเรื่องของผู้อื่น”
หวังสือจู้ที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะมีเหตุผลจู่ ๆ ก็แข็งกร้าว
หลิวจิ่วจู๋กับหวังสือจู้ได้พบกันหลายครั้ง หลายครั้งนั้นสร้างภาพจำที่ค่อนข้างดี ชายหนุ่มผู้นี้สุภาพกับนางมาก ไม่หยาบคายอย่างมารดา ทว่าในยามนี้ ปฏิกิริยาของเขาไม่ค่อยถูกต้องนัก
“อันที่จริงข้าพอรู้เรื่องการรักษาโรคเล็กน้อย ไม่เช่นให้ข้าช่วยจับชีพจรท่านดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง” หวังสือจู้ไม่ยอมให้หลิวจิ่วจู๋แตะต้องเขา “พวกท่านกลับไปเถอะ ข้าเพียงแค่เหนื่อยเกินไป พักประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว ท่านแม่ ท่านส่งพวกนางกลับไปเถอะ!”