สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1183 ตอนพิเศษ (66.2)
บทที่ 1183 ตอนพิเศษ (66.2)
“เมื่อครู่ท่านไม่ได้ถามหรือว่าข้าเป็นผู้ใด?” จู่ ๆ ลู่ฉาวจิ่งก็เอ่ยขึ้น
“ตอนนี้คิดจะพูดแล้วหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ต่อ!”
“ข้าแซ่ลู่…” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ในเมืองหลวงมีหลายสกุลที่ใช้แซ่ลู่ แต่มีสกุลเดียวที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า…”
นายกองเซี่ยวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่…
ลู่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า…
ลู่ฉาวจิ่งสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนายกองเซี่ยว สิ่งที่เขาต้องการก็คือช่วงเวลานี้
เขาคว้าแขนของนายกองเซี่ยว ดึงดาบออกจากมืออีกฝ่าย แล้วก้มตัวลง…
ฟึ่บ!
ลูกธนูห่าใหญ่พุ่งเข้ามา
ทันทีที่ลู่ฉาวจิ่งก้มตัวลง ลูกธนูก็ปักเข้าที่กลางอกของนายกองเซี่ยวทันที
นายกองเซี่ยวมองลู่ฉาวจิ่งด้วยดวงตาเบิกค้าง “ลู่… สกุลลู่…”
ในอึดใจสุดท้ายก่อนสิ้นลม นายกองเซี่ยวยังไม่อยากเชื่อว่าคนสกุลลู่จะมาปรากฏตัวในสถานที่แร้นแค้นเช่นนี้ได้
แต่นิสัยเจ้าเล่ห์เช่นนี้ นอกจากสกุลลู่แล้วยังจะมีผู้ใดมีความสามารถอีก ลู่เจ๋ออดทนมานาน อดทนให้ความ ‘ร่วมมือ’ กับพวกเขา ยอมทนรับการทดสอบทุกรูปแบบจากพวกเขา ท้ายที่สุดยังได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา ผลที่ได้คืออีกฝ่ายถอนรากถอนโคนเนื้อร้ายทั้งหมดจนสิ้น
เมื่อคนของนายกองเซี่ยวเห็นว่านายกองเซี่ยวตายแล้ว พวกเขาก็ยอมจำนนอย่างรวดเร็ว
หากยอมแพ้ก็ยังมีโอกาสรอด ทว่าหากขัดขืนย่อมมีเพียงแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น
ลู่ฉาวจิ่งเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีจึงโอบล้อมซุ่มโจมตีไว้ พวกเขาเดิมทีก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้
“ใต้เท้า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว”
“จับคนเข้าคุก คุมขังไว้ให้แน่นหนา อย่าได้ปล่อยออกมาแม้เพียงคนเดียว”
“ขอรับ”
จงซู่เกินก้าวเข้ามา “ใต้เท้า ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ผู้อื่นไม่ได้สังเกต จงซู่เกินกลับเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของเขา ย่อมไม่มีทางไม่เห็นบาดแผลที่แขนของลู่ฉาวจิ่ง
เมื่อครู่นี้แม้เขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่านายกองเซี่ยวผู้นั้นก็ไม่ใช่พวกกินพืช ไม่ว่าลู่ฉาวจิ่งจะระวังเพียงใด ดาบนั้นก็ถากแขนของเขาไปแผลหนึ่ง
“ข้าไม่เป็นไร เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเราไปกันเถอะ!”
จงซู่เกินพาหยางชิงซือตามลู่ฉาวจิ่งไป
นายกองเซี่ยวตายแล้ว ทว่าลูกน้องของเขายังคงกระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง หากคนเหล่านั้นไม่ถูกควบคุม ความวุ่นวายก็จะยังคงอยู่
ลู่ฉาวจิ่งมีเรื่องมากมายให้จัดการ ตอนนี้เขาต้องรีบกลับไปควบคุมสถานการณ์โดยรวม เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แรงงานที่ถูกหลอกมาเป็นทหารเหล่านั้นจะต้องได้รับการปล่อยตัวก่อน หากช้าไปเพียงก้าว ไม่รู้ว่าจะมีคนกี่มากน้อยที่ทนไม่ไหว
“ใต้เท้า เมื่อครู่พวกเราพึ่งสอบปากคำพรรคพวกของนายกองเซี่ยว เพื่อที่จะได้ลดโทษ พวกเขาจึงเป็นฝ่ายสารภาพออกมา ตอนที่นายกองเซี่ยวพาพวกเขาหลบหนี เขายังไม่ยอมแพ้จึงส่งคนไประเบิดเขาเพื่อปิดทางออก ขังคนงานที่กำลังขุดเหมืองไว้ข้างใน หากเราไม่คิดหาทางช่วยเหลือ เกรงว่าคนมากมายเหล่านั้นจะออกจากเหมืองไม่ได้ขอรับ”
“ช่วยคนก่อน!”
“ขอรับ”
ลู่ฉาวจิ่งได้รับบาดเจ็บ ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลามารักษาแล้ว ทำได้เพียงรีบทำแผลอย่างเร่งรีบแล้วรุดไปที่เหมืองเพื่อช่วยคน
ขณะที่คนร่างกายผอมโซถูกพาออกมาคนแล้วคนเล่า ลู่ฉาวจิ่งถึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง
“ใต้เท้า พวกเขาไม่ได้กินอิ่มนอนหลับมาเป็นเวลานาน ต้องทนทุกข์ทรมานสารพัดรูปแบบ ร่างกายพวกเขาจึงทรุดโทรมร้ายแรง หากเราปล่อยพวกเขากลับบ้านให้ครอบครัวพวกเขาเห็นพวกเขาในสภาพนี้ เกรงว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้แล้ว” จงซู่เกินเอ่ย “บัดนี้ใต้เท้าเป็นนายอำเภอ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของท่าน ทว่าชาวบ้านก็จะยังนำความโกรธแค้นนี้มาลงกับท่านอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นคงจะเกิดการจลาจล ผู้มีเจตนาแอบแฝงจะฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่อง ข้าคิดว่า… ข้าคิดว่าพวกเราควรจัดหาที่ทางให้ท่านหมอรักษาพวกเขาก่อนและจัดหาอาหารที่นอนพักผ่อนให้พวกเขาชั่วคราว”
รอพวกเขาอวบอ้วนขึ้นมา ร่างกายฟื้นตัว ถึงยามนั้นค่อยปล่อยพวกเขากลับบ้าน โดยบอกว่ากลับไปเยี่ยมญาติ เช่นนี้ญาติ ๆ ย่อมไม่สงสัยสิ่งใด
ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เราช่วยคนออกมาได้กี่มากน้อย?”
“เจ็ดร้อยห้าสิบสามคนขอรับ”
“ข้าจำได้ว่าพวกเขามีสมุดบันทึก เจ้าส่งคนไปนับคนในสมุดบันทึกนั้น ดูว่าผู้ใดถูกฆ่าและผู้ใดถูกพวกเราช่วยออกมาแล้วบ้าง”
จงซู่เกินเหลือบมองแขนของลู่ฉาวจิ่ง “ไม่เช่นนั้น ท่านไปทำแผลก่อนเถิด! หากเลือดไหลไม่หยุดเช่นนี้ เกรงว่าท่านจะเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว”
ลู่ฉาวจิ่งเหลือบมองแขนตนเอง “อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไร”
หลังจากนั้นไม่นาน ที่ปรึกษาก็กลับมารายงานสถานการณ์
ในสมุดบันทึกมีทั้งหมดเจ็ดร้อยเจ็ดสิบแปดคน ตอนนี้กลับเหลือเพียงเจ็ดร้อยห้าสิบสามคนเท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือ เนื่องจากอีกสิบคนถูกสังหารไปแล้ว
“ซู่เกิน ติดประกาศออกไป อธิบายเรื่องนี้ตามความเป็นจริง”
“ตามความเป็นจริงหรือ?” จงซู่เกินตกใจ “ชาวบ้านจะต้องโมโหมากเป็นแน่ อีกทั้งยังจะสงสัยว่านายอำเภอเป็นพรรคพวกเดียวกันกับคนร้ายด้วย”
“ความจริงอย่างไรก็คือความจริง ส่วนพวกเขาจะเข้าใจผิดหรือไม่ ข้าไม่ได้สนใจ ไม่ถูก อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นที่ถูกฆ่า… ศาลาว่าการจะชดใช้ให้กับญาติของพวกเขา”
สิ่งที่จงซู่เกินนึกกังวลได้เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อมีการติดประกาศกระจายข่าวเรื่องนายกองเซี่ยวใช้วิธีการเกณฑ์ทหารปลอมหลอกลวงแรงงานไปขุดเหมืองออกมา ชาวบ้านก็มารวมตัวกันที่ประตูศาลาว่าการส่งเสียงโห่ร้องเพื่อขอคำอธิบาย
ถึงแม้จะมีคนบอกว่านายกองเซี่ยวตายไปแล้ว ลูกน้องของนายกองเซี่ยวก็โดนจับแล้ว ถึงแม้จะอยากได้คำอธิบายก็ควรไปถามพวกเขา ใต้เท้านายอำเภอจัดการนายกองเซี่ยว ถือเป็นวีรบุรุษในเหตุการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม คนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
หง่าง! หง่าง! เสียงตีฆ้องดังขึ้น
“ข้าหลวงใหญ่แห่งราชสำนักมาถึงแล้ว”
เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงต่างก็ปลีกตัวหลีกทาง
เห็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงขี่ม้าขาว สวมชุดขุนนางสีแดง หน้าตาโดดเด่น ท่วงท่าสง่างาม
“นั่นผู้ใดกัน?”
“ชุดขุนนางสีแดง นั่นเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งเชียวนะ!”
“พวกเรามีขุนนางใหญ่เช่นนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อใด?”
“พวกเจ้าคิดว่าคนผู้นี้คล้ายคลึงกับใต้เท้านายอำเภออยู่หลายส่วนหรือไม่?”
“พอเจ้าเอ่ยขึ้นมา ดูไปแล้วก็คล้ายกันมากทีเดียว หรือว่าเป็นญาติใต้เท้านายอำเภอ?”
ญาติใต้เท้านายอำเภอสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่ง เช่นนั้นใต้เท้านายอำเภอผู้นี้มีที่มาอย่างไร?
“ราษฎรทั้งหลายรับพระบัญชา…” คณะผู้ติดตามประกาศพระราชโองการ “คุณชายรองจวนอ๋องลู่ได้รับคำบัญชาลับจากเรา เสี่ยงอันตรายด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบคดีที่ค้างอยู่ บัดนี้จัดการสำเร็จลุล่วงแล้ว ขอแต่งตั้งคุณชายรองสกุลลู่เป็นผู้ตรวจการ…”
“คุณชายรองจวนอ๋องลู่เป็นผู้ใด?”
“เจ้าโง่ใช่หรือไม่? เห็นได้ชัดว่ากำลังกล่าวถึงใต้เท้านายอำเภอของเรา”
“ท่านอ๋องลู่… คุณชายรอง? ท่านอ๋องลู่ในเมืองหลวงผู้นั้นน่ะหรือ พระชายาลู่ก็เป็นผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า นางมั่งคั่งที่สุด…”
“พวกเราเอาแต่คิดอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อพบสตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่ง ผลคือลูกชายนางอยู่ใกล้ ๆ เรานี่เอง”
“ใต้เท้านายอำเภอผู้นั้นได้รับพระบัญชาลับของฝ่าบาทมาสอบสวนคดีนี้จริง ๆ เช่นนั้นพวกเราเคยทำผิดต่อเขาหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่เคยทำผิดต่อเขา เขาเป็นถึงคุณชายสกุลลู่เชียวนะ จริงสิ ข้าหลวงใหญ่ประจำราชสำนักผู้นั้นคงไม่ใช่คุณชายใหญ่ของท่านอ๋องลู่ในตำนานผู้นั้นกระมัง? อัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้า…”
ทุกคนกำลังถกเถียงกันเซ็งแซ่
แต่ยามนี้ผู้ที่สร้างความอึกทึกครึกโครมกลับเงียบไปแล้ว