สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1188 ตอนพิเศษ (69.1)
บทที่ 1188 ตอนพิเศษ (69.1)
ลู่ฉาวอวี่ขี่ม้าออกมาข้างหน้า
ลู่จื่อชิงเห็นลู่ฉาวอวี่ นางพลันวางหอกในมือลงทันที
“ท่านพี่ ท่านก็กลับมาแล้วหรือ”
ลู่ฉาวอวี่มองนาง “เจ้าตัวกลมขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ลู่จื่อชิง “…”
ลู่ฉาวจิ่งเกรงว่าโลกจะวุ่นวายไม่พอจึงเอ่ยขึ้นจากข้างหลัง “เอวหนาขึ้นแล้วจริง ๆ”
สีหน้าของลู่จื่อชิงเดี๋ยวขาวเดี๋ยวดำ นางไม่กล้าลงมือกับลู่ฉาวอวี่จึงใช้หอกแทงไปทางลู่ฉาวจิ่ง
หลิวจิ่วจู๋เข้าไปยืนขวางหน้าลู่ฉาวจิ่ง “ท่านอย่ารังแกสามีข้านะ”
ลู่จื่อชิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง สีหน้าฉายความประหลาดใจ
นางเก็บหอกกลับไป มองหลิวจิ่วจู๋แล้วกล่าว “น้องชาย ข้าไม่ได้ได้ยินผิดใช่หรือไม่? เมื่อครู่นางเรียกเจ้าว่าอะไรนะ?”
“สามี” สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวย้ำ “คุณหนูรอง ท่านได้ยินไม่ผิด แม่นางน้อยท่านนั้นเรียกคุณชายน้อยเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ต่อหน้าพี่สาวคนรองที่สนิทที่สุด ลู่ฉาวจิ่งแสดงความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ออกมาอย่างหาได้ยาก จำต้องรู้ว่า เขาหลอกล่อศัตรูจนหัวหมุน จะเรียกเขาว่าจิ้งจอกน้อยนั้นก็ไม่เกินจริง ทว่ายามนี้เขากลับเป็นเหมือนเด็กผู้หนึ่ง
“ลู่น้อย เจ้าใช้ได้นี่! ออกจากบ้านไปหนเดียวก็พาภรรยาตัวน้อยผู้หนึ่งกลับมาแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าไม่แนะนำนางให้พี่หญิงรู้จักสักหน่อยหรือ?”
“พี่หญิงรอง นี่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของข้า ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางยังเป็นภรรยาของข้าอีกด้วย ท่านเรียกนางจิ่วเอ๋อร์เถอะ ปกติข้าเรียกนางเช่นนี้”
“อะแฮ่ม…” ถังกั๋วกงกระแอมเบา ๆ จากด้านข้าง “ก่อนหน้านี้ไม่นับ คิดจะแต่งบุตรสาวบ้านข้ายังต้องเตรียมสามหนังสือหกพิธีให้ดีก่อนค่อยว่ากัน!”
“ฟังดูซับซ้อนเหลือเกิน!” ลู่จื่อชิงกล่าว “ไป ๆ กลับบ้านก่อนค่อยว่ากัน”
ลู่ฉาวจิ่งหันกลับไปมองหลิวจิ่วจู๋ “เจ้าอยากตามเขาไปที่จวนกั๋วกงจริง ๆ หรือ?”
“อื้ม” หลิวจิ่วจู๋พยักหน้า “เขาเป็นบิดาข้า ข้ากลับไปกับเขาก็ดีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดกันดิบดีแล้วหรือ? ท่านบอกว่าจะเตรียมสามหนังสือหกพิธีมาสู่ขอข้า”
“เช่นนั้นเจ้ารอข้าก่อน”
“ข้าจะรอท่าน”
หยางชิงซือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น เพียงแค่กล่าวว่าแต่งงานกันที่หมู่บ้านสกุลหลิ่วแล้ว พวกเจ้าเป็นสามีภรรยา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตัดใจแยกจากกันไม่ได้อย่างตอนนี้”
“ข้าอยากจะจัดงานแต่งให้จิ่วเอ๋อร์อย่างเป็นทางการ”
หลิวจิ่วจู๋เดินไปสามก้าวแล้วหันกลับมา ก่อนจะขึ้นรถม้าตามถังกั๋วกงไป
ลู่จื่อชิงโบกมือไปมาต่อหน้าลู่ฉาวจิ่ง “มีสติได้แล้ว”
ลู่ฉาวจิ่งลูบจมูกเบา ๆ “พี่หญิงรอง…”
ลู่จื่อชิงฉีกยิ้ม
ลู่ฉาวจิ่งเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของนาง สัญชาตญาณร้องเตือนอันตรายจึงดังขึ้นมา
ไม่ผิดจากที่คาด ลู่จื่อชิงยกหอกแทงมาทางเขา “ระวังหอกหน่อยสิ”
“พี่หญิงรอง ท่านเปลี่ยนไปรังแกผู้อื่นได้หรือไม่?” ลู่ฉาวจิ่งร้องประท้วง ขณะที่หลบการเคลื่อนไหวของลู่จื่อชิง “ท่านกำลังจะออกเรือนแล้ว เหตุใดยังไม่ประพฤติตัวให้มีคุณธรรมอีก?”
“ตราบใดที่ข้ายังเป็นพี่หญิงรองของเจ้า เจ้าก็ปล่อยให้ข้ารังแกเจ้าเสียเถอะ” ลู่จื่อชิงกล่าว “ถึงแม้ข้าจะแต่งงานแล้ว เจ้าก็ยังต้องฟังข้า!”
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย…”
ลู่ฉาวอวี่ขยับตัวเล็กน้อยหลบหลีกความเคลื่อนไหวของลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมผู้หนึ่งขึ้นมาทันที
“เขาเพิ่งจัดการคดีหนึ่งมา ข้าต้องการให้เขาเขียนบันทึกรายงานคดี รอเขากลับมาจากศาลาว่าการแล้ว เจ้าค่อยแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา”
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่” ลู่จื่อชิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ลู่ฉาวจิ่งหนีตามลู่ฉาวอวี่ไปแล้ว
ลู่จื่อชิงวางหอกลงแล้วเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “รีบมานี่ เจ้าไปสอบถามสักหน่อยว่า ว่าที่น้องสะใภ้ของข้าชอบอะไร มีนิสัยใจคออย่างไร วันนี้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเชิญนางมาเล่นที่จวน”
“เจ้าค่ะ”
ลู่จื่อชิงควบม้ามาที่จวนซ่ง
ซ่งหานจือไม่อยู่จวน ทว่าฮูหยินซ่งอยู่ที่บ้าน
“ช้าหน่อย ๆ” ฮูหยินซ่งหันกลับมาเห็นลู่จื่อชิงกระโดดลงจากหลังม้าก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ “เจ้านี่นะ ไม่รู้จักระมัดระวังอยู่เรื่อยเลย”
“ท่านน้า ซ่งหานจือยังไม่กลับหรือเจ้าคะ!”
“คดีในมือเขาค่อนข้างมาก ออกไปแต่เช้า กลับมาก็มืดค่ำทุกวัน”
“อ้อ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? เจ้าไม่ต้องหาเขา มาหาข้าก็ได้” ฮูหยินซ่งกล่าว “รีบมานี่เร็วเข้า วันนี้ข้าไปพบคนขายปลาผู้หนึ่งมา ปลาตัวนี้เป็นสายพันธุ์พิเศษ เจ้ามาดูว่าชอบหรือไม่”
“ปลาสีนี้ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
“ใช่หรือไม่? ข้าก็ไม่เคยพบเจอเช่นกัน วันนี้ได้เห็นแล้วจึงสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง”
สิ้นคำ ฮูหยินซ่งก็หันไปมองลู่จื่อชิง “เจ้าไปพบเจอเรื่องอะไรมาหรือ?”
“น้องชายข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงกล่าว “เขาพาแม่นางผู้หนึ่งกลับมา ทั้งยังบอกว่านางเป็นภรรยา ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะพาแม่นางผู้หนึ่งกลับมาด้วย หากรู้ข้าคงเตรียมของขวัญไว้สักชิ้น พรุ่งนี้ข้าตั้งใจจะชวนนางมาเที่ยวเล่นที่จวนจึงอยากถามท่านน้าว่ามีคำแนะนำดี ๆ หรือไม่ ดูว่าของขวัญแบบใดจึงจะดี…”
“คุณชายน้อยลู่มีภรรยาแล้วหรือ?” ฮูหยินซ่งประหลาดใจ “เจ้าเป็นพี่สาว อายุไม่ห่างจากนางมากนัก พบหน้าครั้งแรกไม่จำเป็นต้องให้ของแพงเกินไป เจ้ามีของดี ๆ อะไร รอพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ย่อมมีโอกาสมอบให้มากมาย ตอนนี้น่ะหรือ เพียงมอบเครื่องประดับกายหรือเครื่องประดับศีรษะที่หญิงสาวชอบก็เป็นอันใช้ได้ หากกล่าวไม่ผิด เช่นนั้นก็ส่งปิ่นปักผมให้สักอัน เด็กผู้หญิงย่อมไม่รังเกียจที่จะมีปิ่นปักผมของตนเยอะหน่อยหรอก”
“ข้าฟังท่านน้า”
“ไม่เช่นนั้น อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปกับเจ้า ดูว่ามีสินค้าใหม่ ๆ หรือไม่”
“ดียิ่งเจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเราไปตอนนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ใจร้อนจริง ๆ”
ฮูหยินซ่งพาลู่จื่อชิงไปเยือนหอเครื่องประดับขนาดใหญ่หลายแห่งในเมืองหลวง
“ปิ่นปักผมอันนี้เหมาะกับเจ้า” ฮูหยินซ่งปักปิ่นปักผมบนศีรษะให้ลู่จื่อชิง
“ท่านน้า พวกเรามาเลือกของขวัญนะเจ้าคะ”
ลู่จื่อชิงไม่ชอบสวมใส่สิ่งใดบนศีรษะมากเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงดูเรียบง่าย ทว่าโชคดีที่ใบหน้าเป็นเอกลักษณ์ของนางไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้จัก จึงไม่มีคนตาบอดล่วงเกินเศรษฐีผู้นี้
“ของขวัญย่อมต้องเลือก เพียงแต่ปิ่นปักผมอันนี้ราวกับออกแบบมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”
ฮูหยินซ่งเลือกเครื่องประดับหลายแบบ ผ่านไปไม่นานทั้งศีรษะและข้อมือของลู่จื่อชิงก็เต็มไปด้วยเครื่องประดับแล้ว
“คุณหนู นั่นไม่ใช่คุณชายซ่งหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกแล้วกล่าวขึ้น
ลู่จื่อชิงได้ยินว่าซ่งหานจืออยู่ข้างนอกก็ปรี่ไปที่หน้าต่าง
ซ่งหานจือกำลังลงจากรถม้าพอดี ดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ
“หานจือ…” ลู่จือชิงโบกมือให้เขา
ซ่งหานจือได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็เงยหน้าขึ้นมา ทันทีที่เห็นนาง สีหน้าที่เย็นชานั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีกำลังจะก้าวไปข้างหน้า บัดนี้เขาหันกลับมาและเดินตรงเข้าไปในร้านเครื่องประดับ
“ท่านน้า หานจือมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซ่งเลือกเครื่องประดับอีกสองสามชิ้น แล้วนำมาใส่ให้ลู่จื่อชิงทีละชิ้น
“เขามาก็มาสิ ของก็ยังต้องเลือก”
ทันทีที่ซ่งหานจือเข้ามาก็เห็นลู่จื่อชิงกำลังแสดงท่าทีขอความช่วยเหลือ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจึงเห็นมารดาของตนดูสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องกับชิงเอ๋อร์ขอรับ”
“มีเรื่องอะไรหรือ?”
“พวกเรานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวที่ร้านปลาเผาที่เพิ่งเปิดใหม่ขอรับ”
ฮูหยินซ่งเงยหน้าขึ้นมอง “ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน อีกประเดี๋ยวห่อกลับไปให้ข้ากับบิดาเจ้าลองชิมดูว่ารสเลิศเพียงนั้นจริงหรือไม่ด้วย”
“ท่านน้า เช่นนั้นพวกข้า…”
“ไปเถอะ ๆ เขามาพอดี เจ้าคงไม่ต้องให้ผู้ใดมาเป็นเพื่อนแล้ว”