สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 119 นางไม่ชอบภาพแบบของเจ้า
บทที่ 119 นางไม่ชอบภาพแบบของเจ้า
บทที่ 119 นางไม่ชอบภาพแบบของเจ้า
ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยควันและกลิ่นหอม ยิ่งเมื่อได้กลิ่นเนื้อหอมหวนจากบ้านของลู่อี้ ครอบครัวอื่นก็ยิ่งเกิดความอยากอาหาร บ้างรู้สึกอิจฉาริษยา บ้างรู้สึกหิวโหยและตะกละตะกลาม
ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังจัดจาน เสียงสุนัขเห่าก็พลันดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ลู่ฉาวอวี่ก็เดินไปเปิดประตู
“ฉาวอวี่” เถี่ยโถวกล่าวพลางหัวเราะ “เจ้าเห็นสิ่งที่ข้านำมาให้หรือไม่?”
“สุนัข?” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองไปยังลูกสุนัขในอ้อมแขนเถี่ยโถว จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้านำมาจากที่ใด?”
“ลูกสุนัขจากบ้านป้าของข้า ท่านป้าเก็บไว้ให้ข้าโดยเฉพาะ ข้าเลยเอามาให้เจ้า คราวก่อนเจ้าบอกว่าอยากเลี้ยงสุนัขไม่ใช่หรือ?” เถี่ยโถวเอ่ยว่า “อย่าคิดว่าตัวเล็กกระจ้อยร่อยล่ะ แม่ของมันดุมาก เวลาเฝ้าบ้านให้ป้าของข้า มันไล่กัดคนเลวไปไม่น้อย ตอนนี้คนพวกนั้นไม่กล้ายุ่งกับป้าของข้าแล้ว”
ป้าของเถี่ยโถวเป็นพี่สาวของต้าหนิวและเอ้อร์หนิว นางเพิ่งเป็นม่ายเมื่อหลายปีก่อน นับตั้งแต่นั้นมา พวกที่คิดร้ายก็พยายามฉวยโอกาสจากนาง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เถี่ยโถวจึงเกาศีรษะตนเองอย่างเขินอาย “ข้าไม่ควรนำมาให้เจ้าหรือ? ข้าจำได้ว่าเจ้าบอกว่าอยากเลี้ยงสุนัข ข้าจึงนำมาให้โดยไม่ถามก่อนว่าเจ้าต้องการมันจริงหรือไม่ หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็นำกลับไปได้ ไม่เป็นไร”
“นั่นเถี่ยโถวใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เหตุใดไม่เข้ามาข้างในก่อนเล่า?”
ลู่ฉาวอวี่หลบไปด้านข้าง ปล่อยให้เถี่ยโถวเดินเข้าไปก่อน
เถี่ยโถวกอดลูกสุนัขพลางกล่าวอย่างเขินอาย “ท่านน้า ข้าเพียงเดินเตร็ดเตร่ไปมาผ่านหน้าบ้านท่าน เลยแวะมาคุยกับฉาวอวี่ ไม่ได้มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น”
“แล้วเจ้าอุ้มสิ่งใดอยู่?”
เนื่องจากลูกสุนัขมีขนาดเล็กมาก เมื่อถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของเถี่ยโถวจึงถูกบังจนมิด มีเพียงหัวเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมา ดวงตากลมโตของมันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ระแวดระวังกับคนแปลกหน้า
“ลูกสุนัข” เถี่ยโถวตอบ “สุนัขของป้าข้าให้กำเนิดลูกสุนัขหลายตัว ท่านป้ามอบให้ข้าสองตัว แต่ข้านำกลับมาเพียงหนึ่งตัว แม้จะนำกลับมา พ่อของข้าต้องไม่ยอมให้เลี้ยงแน่”
“พ่อของเจ้าไม่ยอมให้เลี้ยง แล้วเจ้าจะทำอย่างไร? หากเจ้าเลี้ยงเองไม่ได้ก็มอบมันให้เราดีหรือไม่ ข้าเองก็อยากเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้าน” มู่ซืออวี่กล่าว
เถี่ยโถวจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยความประหลาดใจ “ท่านน้าพูดจริงหรือ?”
“จริงสิ” มู่ซืออวี่หัวเราะ “เหตุใดข้าต้องโกหกเจ้าด้วย?”
“เช่นนั้นก็ตกลง!” เถี่ยโถวกะพริบตาพลางจ้องมองลู่ฉาวอวี่
“ลูกสุนัขกัดเป็นหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะแตะลูกสุนัข แต่แล้วก็ถอยกลับด้วยความกลัว
“กัดไม่เป็น มันยังเด็กน่ะ” เถี่ยโถวกล่าว “ลองสัมผัสดูเถิด มันรับรู้ได้ว่าใครดีใครเลว”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเถี่ยโถว ในที่สุดลู่จื่ออวิ๋นก็สัมผัสหัวลูกสุนัขสีดำตัวนั้น
ลูกสุนัขสีดำหดหัวกลับด้วยความตกใจ ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเถี่ยโถว ไม่ยอมปรากฏตัวออกมาอีก
“อย่ากลัวไปเลยเสี่ยวเฮย ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
“เถี่ยโถว มากินข้าวเถิด” มู่ซืออวี่จัดวางอาหารลงบนโต๊ะพลางเอ่ยกับเถี่ยโถว
“ไม่ดีกว่าขอรับ” เถี่ยโถวซึ่งกำลังนั่งยอง ๆ รีบลุกขึ้นในทันที และเดินไปข้างนอก “ข้าต้องกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ ฉาวอวี่ ไว้วันหลังข้าจะมาหาเสี่ยวเฮยใหม่”
“เด็กคนนี้…” มู่ซืออวี่เผยรอยยิ้ม “ฉลาดจริงเชียว”
“ต้องการเลี้ยงมันจริง ๆ หรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“จริงสิ” มู่ซืออวี่ลูบศีรษะลู่ฉาวอวี่ “เจ้าไม่รู้สึกว่ามันเหมือนเจ้าหรือ?”
“เหมือนอย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองนาง
“เอาล่ะ หากเจ้าบอกว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือน”
ดูเอาเถิด นางพูดไม่ผิดเลยสักนิด แยกเขี้ยวเหมือนเจ้าลูกสุนัขตอนไม่พอใจไม่มีผิด!
“ท่านแม่ แล้วจะให้เสี่ยวเฮยอยู่ที่ไหนดี?”
“ตอนนี้มันยังเล็กมาก ให้อยู่ในบ้านเราก่อน หลังจากที่เราสร้างบ้านใหม่ เราค่อยสร้างบ้านแยกให้มัน มันจะได้มีบ้านเป็นของตัวเองด้วย”
“ยอดเยี่ยมมาก เสี่ยวเฮยของเราจะมีบ้านเป็นของตัวเองด้วย”
ลู่อี้เดินทางกลับกระท่อม ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังล้างจาน เมื่อเห็นเขากลับมาแล้ว นางก็เอ่ยว่า “ข้าอุ่นอาหารไว้ให้ในหม้อ ไม่รู้ว่าเจ้ากินอะไรมาแล้วหรือยัง หากยัง ข้าจะยกมาให้”
“ข้ากินมาแล้ว” ลู่อี้กล่าว “ข้ามีข่าวร้าย ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากฟังหรือไม่?”
“เรื่องเกี่ยวกับข้าหรือ?”
“อืม”
“พูดมาเถิด ข้าอยากฟัง”
“สาวใช้ของคุณหนูหลี่ส่งข่าวมาให้ข้าว่า คุณหนูของพวกนางไม่ชอบภาพแบบของเจ้า นางจึงไม่ต้องการให้เจ้าทำอีกต่อไป”
ลู่อี้กล่าวพลางจ้องมองมู่ซืออวี่ เมื่อเห็นความผิดหวังปรากฏในแววตาของนาง เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก
“แม้คราวนี้ไม่ได้งาน แต่คราวหน้าจะต้องได้แน่” ลู่อี้ปลอบใจนาง
“ข้าไม่สบายใจเลย” มู่ซืออวี่เหลือบมองเขา “ลืมไปเสีย ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดราบรื่นไปเสียทุกอย่าง บางทีคุณหนูหลี่อาจมีความชื่นชอบในแบบที่แตกต่างไปจากข้า”
“อืม ข้าจะช่วยเจ้าเขียนก็แล้วกัน”
“เจ้ามีหลายสิ่งที่ต้องจัดการทุกวัน ยังคิดจะกลับมาเขียนอีกหรือ? ลืมไปเสียเถิด ฝากงานเขียนในครั้งนี้ไว้กับน้องเจ้าเถอะ เขาจะได้มีอะไรทำ ไม่คิดฟุ้งซ่าน หลังจากได้เงินมา ข้าจะขอหยิบยืมเขาก่อน เอาไว้เรามีเงินมากพอก็ค่อยคืนเขา หากในอนาคตเขาได้แต่งงานและเริ่มต้นธุรกิจ เราก็จะมอบเงินให้ด้วย”
“อืม”
เมื่อเห็นว่าลู่อี้กำลังจะจากไป มู่ซืออวี่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
กลางดึกของคืนนั้นซึ่งเป็นค่ำคืนที่มีดวงดาวเปล่งประกาย ในยุคปัจจุบัน มีเพียงภาพในคอมพิวเตอร์เท่านั้นทำให้เห็นค่ำคืนอันงดงามเช่นนี้
มู่ซืออวี่หยิบไหเหล้าผลไม้เข้าไปในห้อง เมื่อเห็นลู่อี้เดินเข้ามาจึงถามว่า “ดื่มเหล้าหรือไม่?”
ลู่อี้เลิกคิ้ว “เหตุใดจู่ ๆ จึงอยากดื่มขึ้นมาเล่า?”
“ผ่อนคลายไง” มู่ซืออวี่คลี่ยิ้ม “หากดื่มเพียงเล็กน้อย เหล้าก็ถือเป็นยาชั้นดีสำหรับร่างกาย”
ลู่อี้นั่งลงตรงข้ามนาง
นอกจากไหเหล้าแล้ว ยังมีจอกและอาหารทานเล่นมากมายบนโต๊ะ ดูจากอาหารทานเล่นเหล่านี้แล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การดื่มเพียงจอกสองจอก
“วันนี้ข้าไปดูสำนักศึกษา เลยรู้มาว่ามีทั้งสิ้นสามแห่ง ข้าอยากถามเจ้าว่าที่ไหนดีที่สุด?”
“ทั้งสามแห่งรับสมัครเด็กอายุระหว่างสามถึงสิบสองหนาว จางซิ่วไฉจะคัดเลือกเพียงเด็กที่มีความสามารถและพรสวรรค์ ถังซิ่วไฉจะรับเพียงนักศึกษาที่ได้รับทุน พอเป็นเช่นนี้มาตลอดห้าปีก็แทบจะหมดบารมี ส่วนเหวินซิ่วไฉ ไม่มีผู้ใดทราบที่มา แต่ที่นี่รักเด็กมาก ว่ากันว่าคัดเลือกเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน หากพบผู้ใดที่มีความสามารถและใฝ่เรียน ทางสำนักจะยอมจ่ายเงินค่าหนังสือให้”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะชื่นชอบเหวินซิ่วไฉมาก”
“เขาอ่อนโยนและสง่างาม เป็นครูที่ดีมาก” ลู่อี้กล่าว “ครูคนแรกไม่จำเป็นต้องเก่งหรือเชี่ยวชาญ สิ่งสำคัญที่สุดคืออุปนิสัย จางซิ่วไฉเป็นคนเก่ง แต่เขาติดเหล้าและมักจะอารมณ์เสียอยู่เสมอ ส่วนถังซิ่วไฉ แม้เขาจะใจดีกับนักเรียน แต่ก็มักจะแบ่งพรรคพวก เอ็นดูเฉพาะเด็กในปกครองของตน คนเช่นนี้คงสอนใครได้ยาก”
“เช่นนั้นเราจะเลือกเหวินซิ่วไฉ” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าว่างเมื่อไหร่ก็พาพวกเขาไปเยี่ยมเยียนเหวินซิ่วไฉสักหน่อย แม้เราจะเลือกเขา เขาก็อาจไม่เลือกครอบครัวของเราก็ได้”
“พรุ่งนี้” ลู่อี้กล่าว “พรุ่งนี้รถม้าของหอหลิงอวิ๋นจะเดินทางมารับของเมื่อใด? เราจะขอติดรถม้าพวกเขาไปในเมืองด้วย”
“หากเจ้าไม่พูด ข้าเองก็คงลืมสนิท ข้ายังมีงานที่ต้องทำ ไม่ได้ ข้าดื่มเหล้านี้ไม่ได้” มู่ซืออวี่วางจอกลงแล้วกระวีกระวาดออกไปข้างนอกพร้อมกับตะเกียงน้ำมัน