สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1196 ตอนพิเศษ (74.1)
บทที่ 1196 ตอนพิเศษ (74.1)
โชคดีที่หยางชิงซือกำลังหลับ ไม่เช่นนั้นหากได้ยินคำพูดนี้ เกรงว่าจะถูกทำให้โมโหเข้า
ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ นางไม่อาจถูกกระตุ้นจนเกินไปได้
จงซู่เกินมองดูนิ้วก้อยที่หกนั่นพลางกอดลูกตัวสั่น
เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดคำจาไร้สาระเหล่านั้น ทว่าเขาสงสารลูก ลูกมีหกนิ้ว ภายหน้าไม่รู้จะโดนดูถูกเหยียดหยามมากน้อยเพียงใด
“หกนิ้วแล้วอย่างไร?” ลู่จื่อชิงกล่าว “ข้าเคยเห็นที่บ้านน้าสะใภ้ข้ามีคนนิ้วเท้าหกนิ้ว ภายหลังยังรักษาจนหายดีได้”
“รักษาหายดีแล้วหรือ?” จงซู่เกินมองลู่จื่อชิงอย่างตื่นเต้น “คุณหนูลู่ หกนิ้วรักษาหายได้หรือขอรับ?”
“ได้ซี!” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแค่ตัดนิ้วที่เกินออกไป เพียงแต่ตัดเองไม่ได้ ต้องให้ท่านหมอตัดให้ อย่าได้ไปยุ่งกับมันเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายเด็ก”
“ข้าไม่ยุ่ง! ข้าไม่ยุ่งอย่างแน่นอน!”
ฟางซื่อกล่าว “หกนิ้วเป็นลางร้าย ที่บ้านเกิดข้ามีเด็กหกนิ้วผู้หนึ่ง เขาฆ่าบิดาฆ่ามารดา ฆ่าคนทั้งบ้าน สุดท้ายจึงกลายเป็นขอทาน ผลคือแม้กระทั่งขอทานที่ขออาหารด้วยกันกับเขายังถูกฆ่าตาย”
“ฮูหยิน ที่นี่ไม่มีเรื่องของท่านแล้ว ท่านออกไปเถอะ!” หลิวจิ่วจู๋เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินจงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเป็นแน่ จริงสิ บ่าวต่ำช้าที่กระทำความผิดพลาดผู้นั้นคุกเข่าอยู่ข้างนอก จะจัดการนางอย่างไรล้วนฟังเจ้า” ฟางซื่อกล่าว
“พี่หญิง ท่านอย่าได้เข้าใจท่านแม่ผิด แม่ข้าเดิมทีก็ไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวผู้นั้นที่ทำโดยพลการ หากท่านไม่เชื่อ สามารถไปถามบ่าวผู้นั้นได้” ถังจือฮุ่ยกล่าว
“สหายของข้าเพิ่งคลอดลูก ต้องการพักผ่อนเงียบ ๆ พวกท่านอย่าได้รบกวนนางอยู่เลย ส่วนสาวใช้ข้างนอกนั่น ในเมื่อล้วนฟังข้า เช่นนั้นก็ให้รั้งอยู่ในเรือนทำงานต่อไปเถิด”
“ให้รั้งอยู่ในเรือนเจ้าหรือ?”
“ไม่ผิด”
ลู่จื่อชิงมองหลิวจิ่วจู๋ด้วยความประหลาดใจ
ฟางซื่อขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “บ่าวรับใช้มือไม้เกะกะเช่นนี้ แม้กระทั่งคนผู้หนึ่งยังดูแลได้ไม่ดี หากยังรั้งอยู่ในเรือนคุณหนูใหญ่ เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นอีก”
“เป็นเพราะมือไม้เกะกะประมาทเลินเล่อจึงต้องรั้งอยู่ข้างกายเพื่อจับตามองอย่างใกล้ชิด หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก นั่นนับว่าเป็นการจงใจ หากขายนางออกไปทันทีกลับเป็นการยกประโยชน์ให้นาง จักต้องมอบให้ท่านพ่อจัดการ”
ฟางซื่อโน้มน้าวอีกสองสามคำ ส่วนใหญ่ล้วนกล่าวประมาณว่าสาวใช้ผู้นั้นปรนนิบัติคนได้ไม่ดี หากให้นางรั้งอยู่เกรงจะก่อเรื่องเอาได้ง่าย ๆ ทว่าหลิวจิ่วจู๋กลับยืนกรานจะเก็บนางไว้ ฟางซื่อไร้ทางเลือกจึงทำได้เพียงเห็นด้วย
หลังจากฟางซื่อกับถังจือฮุ่ยกลับไปแล้ว จงซู่เกินก็เอ่ยขึ้น “บ่าวใช้ผู้นั้นเกือบจะฆ่าภรรยาข้าแล้ว เหตุใดยังให้นางรั้งอยู่ทีเรือนเล่า?”
“นางเป็นคนของฮูหยินใหญ่ ข้าให้นางรั้งอยู่ข้างกายก็เหมือนกำจุดอ่อนของฮูหยินใหญ่ไว้ในมือ หากฮูหยินใหญ่คิดจะรังแกข้าก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่พี่หญิงสกุลลู่สอนข้า”
ลู่จื่อชิงชี้ไปที่ตนเอง “ข้า?”
“ใช่แล้ว ท่านเพิ่งเล่าเรื่องของพระชายาลู่ให้ข้าฟัง จู่ ๆ ข้าก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้” หลิวจิ่วจู๋กล่าว
“เจ้าฉลาดทีเดียว” ลู่จื่อชิงกล่าว “น้องจิ่งเป็นห่วงเจ้า ข้าดูแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับเรื่องยุ่งยาก แต่เจ้ากลับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว”
จงซู่เกินไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการทำเช่นนี้แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม คุณหนูสกุลลู่บอกว่านี่เป็นความคิดที่ดี เช่นนั้นนี่ก็ย่อมเป็นความคิดที่ดี
“ข้าอยากไปจากที่นี่” จงซู่เกินเอ่ย “บ้านเจ้าอันตรายเกินไป”
หลิวจิ่วจู๋หันกลับไปมองหยางชิงซือ
จงซู่เกินอุ้มลูกไว้แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากแยกจากกับพวกเรา ชิงซือก็ไม่อาจตัดใจทิ้งเจ้าไว้ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ตามลำพัง ทว่าเจ้าก็เห็นแล้ว เจ้าเป็นเจ้านายของที่นี่ พวกเขายังต้องคอยดูท่าทีเจ้า ทว่าข้ากับชิงซือไม่ใช่ ลูกไม่ใช่ เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะใช้พวกเรามาจัดการเจ้า ข้ากับชิงซือรั้งอยู่ที่นี่รังแต่จะกลายเป็นอุปสรรคของเจ้า ไม่แน่ว่ายังจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
“ข้าเข้าใจ” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าก็ไม่กล้าให้พวกท่านรั้งอยู่ที่นี่ เพียงแต่ ชิงซือเพิ่งคลอดลูก เคลื่อนย้ายนางจะดีหรือ?”
ลู่จื่อชิงกล่าว “ข้าจะจัดเตรียมให้เอง”
“เช่นนั้นรบกวนพี่หญิงแล้ว”
ในตอนที่หยางชิงซือตื่นขึ้นมา นางถามถึงลูกก่อนเป็นอันดับแรก
จงซู่เกินเข้าใจความคิดของนางจึงอุ้มลูกเข้าไปหาทันที
“มือลูกเป็นอะไรไป?” หยางชิงซือเห็นมือลูกถูกพันไว้จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุใดจึงพันเขาเช่นนี้เล่า? อย่างนี้เขาขยับตัวไม่ได้ เขาจะอึดอัดมากเพียงใดกัน!”
จงซู่เกินอยากจะปิดบังไว้ ยิ่งปิดได้นานมากเพียงใดก็ยิ่งดีเพียงนั้น ทว่าเมื่อเห็นหยางชิงซือเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้ดีว่าเรื่องใหญ่เพียงนี้ไม่ควรปิดบัง
“ชิงซือ ภรรยาข้า ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า เจ้าทำใจเย็น ๆ เสียก่อน อย่าตื่นตระหนกเกินไป ดีหรือไม่?”
“มีเรื่องอะไร?” หยางชิงซือได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ลุกขึ้นนั่งอย่างกังวลใจ
ลุกขึ้นนั่งครั้งนี้เร็วเกินไป ศีรษะนางพลันหมุนเคว้ง เกือบจะล้มลงไปอีกรอบ
จงซู่เกินรีบพยุงนางไว้โดยเร็วและเอ่ยปลอบนางอย่างกังวล “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าอย่าร้อนใจไป”
“เช่นนั้นเจ้าพูดมาเถอะ” หยางชิงซือจ้องมองเขา
จงซู่เกินไม่กล้าโยกโย้อีกต่อไปจึงคลายผ้าที่พันรอบมือเด็กออก เผยให้เห็นนิ้วทั้งหก
เมื่อนิ้วทั้งหกปรากฏออกมา หยางชิงซือก็เงียบไป
จงซู่เกินมองนางอย่างกังวลใจ
เพื่อลูกคนนี้ หยางชิงซือทรมานมาไม่น้อย บัดนี้นางพึ่งคลอด ท่านหมอบอกว่าต้องรักษาตัวให้ดี เขานึกไม่ออกว่าการกระตุ้นครั้งนี้จะส่งผลต่อร่างกายของนางหรือไม่
หยางชิงซือเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยื่นนิ้วออกไปสัมผัสนิ้วก้อยที่หก
“สวรรค์ส่งลูกที่พิเศษมาให้เราจริง ๆ” หยางชิงซือกล่าว “ท่านหมอว่าอย่างไร?”
“สกุลถังเชิญหมอหลวงมาแล้ว หมอหลวงไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าคุณหนูรองลู่จวนลู่อ๋องบอกว่าน้าสะใภ้นางรักษาได้ เพียงแต่…”
“ท่านใช่บุรุษหรือไม่? ไยกล่าวอะไรอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จะกล่าวให้จบในคราวเดียวไม่ได้หรือ? แม้นฟ้าจะถล่มลงมา ข้าก็ไม่กลัว ท่านเพียงแค่พูดมาก็พอ”
“เพียงแต่ต้องตัดนิ้วก้อยนี้ออก”
“จะกระทบต่อลูกหรือไม่?”
“นางบอกว่านิ้วนี้เป็นนิ้วที่เกินมา ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตของลูก น้าสะใภ้ของนางเคยตัดนิ้วเท้าที่หกให้ผู้อื่น ภายหลังก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร”
“เช่นนั้นก็ใช้ได้แล้ว” หยางชิงซือกล่าว “ถึงแม้ข้าจะชอบเอกลักษณ์นี้ของลูกเป็นอย่างมาก ทว่าผู้อื่นไม่ได้ฉลาดเหมือนอย่างข้า พวกเขาย่อมไม่เข้าใจเอกลักษณ์ของลูกข้า หากตัดนิ้วพิเศษนี้ออกได้ย่อมดีที่สุด แน่นอนว่าเงื่อนไขสำคัญคือจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อลูก หากตัดนิ้วออกแล้วกระทบต่อลูกข้า ข้ายอมเก็บไว้ให้โตไปพร้อมกับเขา อย่างไรเสียในสายตาข้า เขาก็เป็นลูกที่น่ารักที่สุด”
“เจ้าไม่กังวลหรือ?”
“เหตุใดข้าต้องกังวล?” หยางชิงซือเอ่ย “จริงสิ ลูกชื่ออะไรหรือ?”
“เจ้ายังไม่ตื่น ข้าจะกล้าตั้งได้อย่างไร?”
“ข้าจะตื่นหรือไม่ก็ตั้งชื่อได้” หยางชิงซือกล่าวด้วยความโมโห “เจ้ากับข้าล้วนไม่มีความรู้ ยังต้องตั้งชื่อเองอีกหรือ? แน่นอนว่าต้องเชิญลู่เจ๋อมาช่วยตั้งให้สักชื่อ เขาร่ำรวย อีกทั้งยังมีสถานะสูงส่ง หากให้เขาตั้งชื่อลูกของเรา มากน้อยย่อมได้รับพรมาบ้าง”