สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1197 ตอนพิเศษ (74.2)
บทที่ 1197 ตอนพิเศษ (74.2)
“ได้ อีกประเดี๋ยวพบเขา ค่อยเชิญเขามาตั้งให้สักชื่อ”
“อีกประเดี๋ยวเขาจะมาหรือ?” หยางชิงซือยกมือขึ้นแตะผม “ข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ พบเขาคงไม่เหมาะกระมัง!”
“ไม่ใช่ว่าเขาจะมา เพียงแต่พวกเรากำลังจะย้ายออกไป หลังจากย้ายออกไปแล้ว ข้าจะไปหาเขาเพื่อบอกที่อยู่ใหม่สักหน่อย”
“เพราะเหตุใด?”
จงซู่เกินเล่าความคิดของตนและข้อสรุปที่ได้จากการหารือกับหลิวจิ่วจู๋ให้นางฟัง
หยางชิงซือกล่าว “ข้าไม่ไป”
“ภรรยา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจแยกจากกับจู๋จือ เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หากเจ้ารั้งอยู่ที่นี่ เจ้าจะกลายเป็นเป้า แต่จู๋จือไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะสร้างความลำบากให้นาง ก็ต้องดูว่าถังกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่”
“แต่ว่า…”
หลิวจิ่วจู๋เดินเข้ามาจากข้างนอก ในมือถืออาหารบำรุงร่างกายเอาไว้
“ข้าตุ๋นน้ำแกงให้เจ้าเอง ดื่มแล้วดีต่อร่างกาย”
“จู๋จือ…” หยางชิงซือเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งกว่าเดิม
หลิวจิ่วจู๋เดินยกน้ำแกงเข้ามาแล้วเอ่ยกับจงซู่เกิน “ยืนทำอะไรอยู่? รีบช่วยประคองชิงซือขึ้นมา ข้าจะป้อนน้ำแกงให้นางดื่ม”
จงซู่เกินช่วยประคองหยางชิงซือให้ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“จู๋จือ ข้าไม่ไป…”
หลิวจิ่วจู๋ตักน้ำแกงให้นางหนึ่งช้อนเต็ม ๆ พยักพเยิดให้นางดื่มลงไป
“พี่ซู่เกินพูดไม่ผิด ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่เดือน ต้องพักฟื้นร่างกาย ก่อนหน้านี้ไม่รู้สถานการณ์ของจวนถังกั๋วกง ตอนนี้เห็นแล้ว ได้รู้แล้วว่าที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการพักฟื้น” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้เก็บหอมรอมริบไว้หรือ? เมื่อครู่ข้ามอบให้พี่ซู่เกินแล้ว ให้เขาไปหาเช่าเรือนข้างนอกสักหลัง ถึงตอนนั้นข้าจะไปเยี่ยมเจ้า”
“เดิมทีคุณหนูรองจวนลู่อ๋องเชิญพวกเราไปอยู่ด้วย ตอนนี้ข้าติดตามทำงานกับสามีจู๋จือ นับว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเขา เขาตระเตรียมที่ทางให้ข้าก็เป็นเรื่องที่ควร อย่างไรก็ตาม ภายหลังข้าใคร่ครวญแล้ว จวนลู่อ๋องก็เป็นจวนหลังใหญ่ซับซ้อนเช่นกัน ถึงแม้ที่นั่นจะไม่ได้มีสิ่งเลวร้ายมากมาย ทว่าการอาศัยเรือนผู้อื่นย่อมรู้สึกราวกับต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา พวกเราเช่าเรือนอยู่ข้างนอกสักหลัง จู๋จืออยากไปหาก็ไปได้ เพราะนั่นเป็นบ้านของเราเอง”
“เอาเถอะ ทำตามที่พวกเจ้าบอกก็ได้” หยางชิงซือเอ่ย “พวกเราไปแล้วก็ลดปัญหาให้จู๋จือเช่นกัน”
“อีกประเดี๋ยวคุณหนูรองลู่จะส่งคนมาช่วย”
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา คนจากสกุลลู่ก็มาถึง
ลู่จื่อชิงดูไปแล้วเรื่อยเฉื่อย ทว่าก็เตรียมการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
บ้านหลังนี้เป็นลู่จื่อชิงที่เตรียมการให้ ค่าเช่าอยู่ในราคาที่พวกเขาพอยอมรับได้
ลู่จื่อชิงยังจัดเตรียมแม่นมให้มาช่วยเหลือด้วย นับตั้งแต่ต้นจนจบหยางชิงซือไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย นางถูกเคลื่อนย้ายออกไปยังที่อยู่ใหม่ด้วยวิธีนี้
จงซู่เกินเห็นสีหน้าผ่อนคลายของหยางชิงซือ ท้ายที่สุดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขายังคงอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยกำลังงีบหลับ บัดนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา
การย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
“เรือนสะอาดสะอ้านเพียงนี้ ข้างในต้องการสิ่งใดล้วนมีทั้งสิ้น คุณหนูรองลู่เพิ่มเงินจัดเตรียมข้าวของข้างในให้ใช่หรือไม่?” หยางชิงซือเอ่ยถาม “สามี ท่านรีบไปถามเถอะ พวกเราไม่อาจเอาเปรียบสกุลลู่”
แม่นมผู้ดูแลกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินอยู่อย่างสบายใจเถิด นี่นับเป็นการเอาเปรียบอะไรกัน? เรือนหลังนี้เดิมเป็นทรัพย์สินของคุณหนูรอง ก่อนหน้าทิ้งร้างมาโดยตลอด บัดนี้ให้พวกท่านเช่า นับว่าขอความเป็นสิริมงคลจากพวกท่านแล้ว รอคุณหนูรองของเราแต่งงานออกเรือน คลอดเด็กน้อยอวบอ้วนได้ในคราวเดียวนั่นจึงจะดี!”
“เรื่องของคุณหนูรองกับคุณชายซ่ง พวกข้าตอนอยู่ที่บ้านเกิดก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางชิงซือเอ่ย “แม่นม ท่านเล่าให้ข้าฟังสักหน่อย ใต้เท้าซ่งฉลาดเช่นนี้ อยู่ในราชสำนักก็นับว่าเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่เล่าลือกันว่าเขาเชื่อฟังว่านอนสอนง่ายต่อคุณหนูรองจวนลู่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“ภายหน้าท่านได้พบก็จะรู้แล้วว่าเป็นจริงหรือเท็จ” แน่นอนว่าแม่นมผู้ดูแลย่อมไม่พูดเรื่องเจ้านายลับหลัง แม้ ‘ข่าวซุบซิบ’ เหล่านั้นจะไม่กระทบต่อชื่อเสียงของเจ้านายก็ตาม
“คุณชายซ่งหล่อเหลามาก เป็นความจริงหรือไม่?”
“เรื่องนี้ย่อมจริงแท้แน่นอน” แม่นมผู้ดูแลเอ่ย “ฮูหยินเคยเห็นคุณชายใหญ่ของเราแล้วกระมัง?”
“แน่นอน”
“ด้วยหน้าตาเช่นนั้นของคุณชายใหญ่กับคุณชายน้อยของเรา คุณหนูรองเห็นพี่ชายกับน้องชายที่หน้าตาราวกับเทพเซียนเช่นนี้ทุกวัน บุรุษธรรมดาทั่วไปจะเข้าตานางได้อย่างไร? ถึงแม้คุณชายซ่งจะองอาจสง่างามไม่สู้คุณชายใหญ่ของเรา รูปโฉมไม่ได้ละเอียดประณีตอย่างคุณชายน้อย แต่อย่างไรก็เป็นคนที่เหมือนเทพเซียนผู้หนึ่ง” แม่นมผู้ดูแลกล่าว “จริงสิ ฮูหยินต้องพบท่านเขยใหญ่ของเรา แล้วท่านจะต้องตกตะลึงเป็นแน่!”
ในหุบเขาอันเงียบสงบ ชายคนหนึ่งก้มลงใช้ถังตักน้ำขึ้นมา เมื่อเขาเห็นเงาที่สะท้อนในน้ำก็อดที่จะเอื้อมมือออกมาสัมผัสใบหน้าไม่ได้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขรุขระเพราะแผลจากรอยดาบ
เห็นได้ว่าคนลงมือชั่วร้ายเพียงใด ราวกับว่าต้องการสลักแผนที่ไว้บนใบหน้าก็มิปาน
“ชูอี…” ชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “แม่เจ้าอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้ว”
ชูอีทิ้งถังน้ำและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็กลับมาอีกครั้งและคว้าถังน้ำบนพื้นขึ้น ก่อนจะวิ่งลงจากเขาว่องไวราวกับนกนางแอ่นโผบิน
ชายร่างสูงใหญ่มองตามร่างของชูอีแล้วพึมพำ “คนผู้นี้ทำจากอะไรกัน วิ่งเร็วเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หรือว่าเป็นโจร?”
ชูอี…
เป็นบุรุษที่หญิงชราตาบอดในหมู่บ้านพวกเขาเก็บกลับมาในวันปีใหม่
ตอนที่เจ้าเด็กคนนี้ถูกเก็บกลับมา ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ต่อมาถึงได้รู้ว่า เขาถูกคณะละครเก็บมาได้ระหว่างทาง คณะละครคิดจะใช้ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของเขาหาเงิน ทว่าเขากลับดุร้ายเป็นพิเศษ ทำร้ายคนในคณะละครจนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีออกมา แน่นอนว่าคนของคณะละครไม่คิดจะยอมแพ้ ทว่าพวกเขามากลุ่มหนึ่งก็ถูกทำร้ายกลุ่มหนึ่ง คนเหล่านั้นจึงค่อย ๆ ยอมแพ้ไป พวกเขารู้สึกว่าชูอีดุร้ายเกินไป หากเก็บเขาไว้รังแต่จะเป็นอันตราย
เหตุเพราะเขาสูญเสียความทรงจำและเพราะหญิงชราตาบอดเก็บเขากลับมาในวันที่หนึ่งระหว่างไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ดังนั้นเขาจึงได้ชื่อว่าชูอี
ชูอีไม่มีความทรงจำ หน้าตาก็อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ คนของคณะละครยังมาสร้างปัญหาให้เขาหลายต่อหลายครั้งและล้วนแต่ถูกเขาทุบตีกลับไป คนในหมู่บ้านจึงรู้สึกว่าเขาเป็นตัวอัปมงคล ไม่ยินดีที่จะคบค้าสมาคมด้วย
หญิงชราตาบอดผู้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้น ตั้งแต่วัยสาวก็มีดวงพิฆาตสามีตาย ภายหลังยังพิฆาตลูกชายกับหลายชายตาย นางจึงร้องไห้จนตาบอด กลายเป็นคนอัปมงคลที่สุดในหมู่บ้าน
คนอัปมงคลสองคนมารวมตัวกัน เมื่อคนทั้งหมู่บ้านเห็นพวกเขาก็ล้วนถอยลี้หนีห่าง ทุกคนอยู่กันอย่างสงบ
จนกระทั่งครึ่งปีที่แล้ว มีสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่งมาที่หมู่บ้านแห่งนี้
สตรีงดงามชวนตะลึงมีที่มาไม่แน่ชัด เพียงแค่มองพริบตาเดียวก็ทำให้ผู้คนหลงใหลได้
สตรีผู้นั้นไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ยืนกรานที่จะติดตามชูอี มองหาแต่เพียงชูอี เพียงแต่ชูอีมักจะหลบเลี่ยงนาง และไม่ยินยอมพบหน้า
ชูอีวิ่งลงมาจากเขา มองเห็นสตรีดุจเทพธิดาผู้นั้นยืนอยู่ไม่ไกล
“ชูอี แม่ท่านอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้วใช่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นมองชายตรงหน้าแล้วชี้ไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าว “ข้าไม่สบายพอดีจึงเชิญท่านหมอมาจับชีพจรให้ ในเมื่อโรคเก่าของแม่ท่านกำเริบ ท่านพาเขาไปดูอาการนางเถิด!”