สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1207 ตอนพิเศษ (79.2)
บทที่ 1207 ตอนพิเศษ (79.2)
ท้องฟ้ายังมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สลัว ๆ เท่านั้นที่ยังคงทำงาน ท่ามกลางแสงจันทร์ เงาร่างของชูอีปรากฏให้เห็นอย่างเลือนราง
ลู่จื่ออวิ๋นเปิดประตูแล้วเอ่ย “เข้ามากินข้าวเช้าเถิด!”
ชูอีกล่าว “ไม่ต้องหรอก ข้ากินแล้ว”
“เช้าเพียงนี้ ท่านจะกินแล้วได้อย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ท่านกังวลว่าอาหารที่พวกเราทำจะไม่ถูกปากหรือ?”
“ไม่ใช่” ชูอีได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็ลงจากเกวียน มัดเชือกไว้กับตอไม้ข้าง ๆ แล้วเดินตามลู่จือวิ๋นเข้าไปในบ้าน “เช่นนั้นรบกวนแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นถึงได้กล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เช่นนี้จึงจะถูก ท่านดูแลพวกเราสตรีอ่อนแอสามคน ทั้งยังยินดีที่จะไปส่ง ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง เพียงแต่ หากท่านไม่ยอมรับน้ำใจของพวกเรา เช่นนั้นเราก็ไม่อาจยอมรับน้ำใจของท่านได้ เดิมทีการไปมาหาสู่กันของคนหมู่บ้านคือท่านยื่นให้ ข้าตอบแทน ท่านหยิบยื่นน้ำใจให้แต่กลับไม่ให้ข้าตอบแทน เช่นนั้นก็ไร้ความหมาย พวกเราไม่อาจเอาเปรียบท่านอยู่ฝ่ายเดียวได้”
อาหารเช้าประกอบด้วยหมั่นโถวกับโจ๊ก ติงเซียงมีฝีมือในการทำผักดองจึงได้ใช้ประโยชน์ในยามนี้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งสี่คนจึงนั่งล้อมโต๊ะกันรับประทานอาหารเช้าด้วยแสงเทียนที่เพียงพอ
“จริงสิ คุณชายชูอี อีกประเดี๋ยวข้ามีเรื่องต้องทำ ไปกับคุณหนูไม่ได้แล้ว” ติงเซียงเอ่ยพลางเตะไป๋จื่อใต้โต๊ะ
ไป๋จื่อก็ร้องรับคำ กล่าวคล้อยตามกันว่า “ใช่ ข้าก็มีเรื่องเช่นกัน”
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “พวกนางมีเรื่องต้องทำ แต่ข้ายังต้องเข้าเมืองสักเที่ยว หากให้ท่านไปเป็นเพื่อนจะลำบากเกินเกินไปหรือไม่?”
“ไม่ลำบาก” ชูอีเอ่ย “ขอเพียงท่านไม่รังเกียจ”
“ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นคีบผักดองให้เขา “ท่านชอบเผ็ด กินให้มากหน่อย หมู่นี้ติงเซียงทำผักกาดดองบ่อย ยิ่งทำยิ่งอร่อยขึ้นเรื่อย ๆ เข้ากันกับหมั่นโถวนี้ได้ดีเชียวละ”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินเผ็ด?” ชูอีเงยหน้าขึ้นมองนาง
“ข้าได้ยินท่านป้าหลินเอ่ย”
หลังอาหารเช้า ลู่จื่ออวิ๋นก็ขึ้นเกวียนที่ชูอีขับ
วัวตัวนั้นเริ่มอายุมากแล้ว ดูไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก เคลื่อนไหวเชื่องช้ายิ่ง
ไป๋จื่อกับติงเซียงมองวัวที่ครึ่งค่อนวันก็เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“ติงเซียง อีกประเดี๋ยวสารถีมา เราให้เขาไล่ตามคุณหนูไปเถิด ข้ากังวลว่าเกวียนเล่มนั้นจะเกิดปัญหาอะไรและไปไม่ถึงในเมือง”
“ไม่ต้องกังวล ท่านเขยยังอยู่ด้วยนะ!”
“ท่านเขยความจำเสื่อม เหตุใดจึงดูแล้วทึ่มทื่อนัก?” ไป๋จื่อเอ่ย “เมื่อก่อนเขาถ่อมตัวเพียงนี้ที่ใดกัน? ตอนนี้รู้สึกราวกับว่าแม้จะอยากมองคุณหนูให้มากขึ้นหน่อยเขาก็ไม่กล้า”
“คงเป็นเพราะเสียโฉมกระมัง!” ติงเซียงพูด “หากเจ้าเป็นเขา เจ้ามีผู้ที่ชอบพอมานานหลายปี แต่จู่ ๆ วันหนึ่งเจ้ากลับกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เช่นนั้นเจ้าจะยังเต็มใจให้คนที่เจ้าชอบพอเห็นหรือ?”
ไป๋จื่อหยุดคิดสักพักแล้วก็ส่ายหัว
ไม่อยาก!
นางหวังว่าจะไปอยู่ในสถานที่หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จักตน ไม่อยากปรากฏตัวต่อหน้าคนที่ชอบพอ นางอยากจะรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายและความภาคภูมิใจในตนเองเอาไว้
“ท่านเขยก็คิดเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำ แต่เขาก็ยังคงปกป้องหัวใจที่เปราะบางของตนจากอันตรายไม่ให้ถูกทำร้ายโดยสัญชาตญาณ”
รุ่งสางแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นนั่งเกวียน มองชูอีหวดแส้ในมือเพื่อขับเกวียน วัวไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพราะมันมัวแต่กินหญ้าข้างทาง
ในหมู่บ้านก็มีเกวียนเช่นกัน ยามนี้เองลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านขับเกวียนมา มีชาวบ้านเจ็ดถึงแปดคนนั่งอยู่บนเกวียนเล่มนั้น ชาวบ้านเห็นชูอีกับลู่จื่ออวิ๋นอยู่ด้วยกันเพียงลำพังบนเกวียนวัว แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าแปลก ๆ และเริ่มซุบซิบนินทา
“ชูอี เกวียนของเจ้าเป็นอะไรไป?” ลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านถาม
“ไม่รู้ มันไม่ยอมไปแล้ว” ชูอีเอ่ยนิ่ง ๆ “มีวิธีหรือไม่?”
“เกวียนของบ้านข้าเป็นวัวหนุ่ม เป็นวัยที่เหมาะแก่การใช้งาน ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่สู้เจ้าผูกเกวียนไว้ที่ใดสักที่ เข้าเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน รอกลับมาแล้วค่อยมาเอามันกลับไปเถอะ”
“ไม่จำเป็น” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พวกเรามีหนทางแล้ว”
คนในหมู่บ้านไม่รีบร้อนที่จะจากไป เนื่องจากอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรได้
ลู่จื่ออวิ๋นหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา ถอนหญ้าที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็รวมหญ้าเข้าด้วยกัน มัดมันเข้ากับเชือกและพันเข้ากับกิ่งไม้ นางถือกิ่งไม้นั้นไว้ ปลายกิ่งไม้มีหญ้าที่วัวชอบกินเป็นพิเศษห้อยอยู่ เพื่อที่จะกินหญ้านั้น เจ้าวัวแก่จำต้องเดินหน้าต่อไป ผลที่ได้คือ เมื่อครู่ยังเดินอืดอาดบัดนี้กลับเริ่มวิ่งอย่างบ้าคลั่งแล้ว
“ช้าลงหน่อย…” ชูอีกอดลู่จื่ออวิ๋นไว้ ป้องกันไม่ให้นางตกลงไป
ลู่จื่ออวิ๋นทรงตัว ยกกิ่งไม้ขึ้นสูง วัวจึงเดินช้าลง
“เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไปแล้ว” ชูอีเอ่ย “หากวัวตัวนั้นบ้าคลั่งขึ้นมา ท่านจะถูกเหวี่ยงลงไปได้”
“ไม่หรอก” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “อย่างแรกข้าง ๆ เป็นผืนดินอ่อนนุ่ม นั่นหมายความว่าถึงตกลงไปก็ไม่ร้ายแรง อย่างน้อยก็ไม่เสียแขนเสียขา อย่างที่สอง ท่านอยู่ข้าง ๆ ข้า ไม่มีทางเฝ้ามองข้าตกลงไปโดยไม่ช่วยเหลือ”
ชูอียกมุมปากขึ้น “อืม”
“อืมอะไร?”
“ข้าไม่มีทางปล่อยให้ท่านตกลงไป” ชูอีกล่าว
หากตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ เขาจะกระโดดลงไปรองรับนางก่อน ไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ
เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นว่าเกวียนพวกเขาวิ่งไปแล้วก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ด้วยเหตุนี้ วัวหนุ่มของหัวหน้าหมู่บ้านจึงไล่ตามหลังมาเรื่อย ๆ เช่นนั้น จนกระทั่งถึงประตูเมือง
ลู่จื่ออวิ๋นป้อนหญ้าให้วัว จากนั้นก็เข้าแถวรอเข้าเมืองเหมือนกับคนอื่น ๆ
“ได้ยินว่าในเมืองมีพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตผู้หนึ่งมา”
“พระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตอะไร?”
“รู้จักไซซีเต้าหู้*[1] ทางฟากตะวันออกของเมืองกระมัง? เพื่อที่จะหาเงินไปซื้อยาให้สามีแล้ว นางแต่งกายยั่วยวนบุรุษอยู่ทุกวี่วันเพื่อขายเต้าหู้ให้ได้มากขึ้น เต้าหู้น่ะขายออกไปได้ ทว่านางก็ได้ชื่อว่าเป็นนางยั่วยวน เมื่อไม่กี่วันก่อน อันธพาลในหมู่บ้านคิดจะรังแกนาง แน่นอนว่านางไม่ยินดี ระหว่างการต่อสู้ ไซซีเต้าหู้ก็ทำหัวอันธพาลแตก!”
“ไม่ใช่ว่าไซซีเต้าหู้มีปัญหาใหญ่แล้วหรือ? อันธพาลนั่นเป็นเจ้าถิ่นที่นี่ นายอำเภอยังทำอะไรเขาไม่ได้”
“นั่นน่ะซี เพียงแต่ เจ้ายังคาดเดาไม่ถูก จู่ ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัว สตรีนางนั้นดูเหมือนจะเป็นฮูหยินขุนนางขั้นสูง บารมีนั้นแม้กระทั่งนายอำเภอยังไม่อาจเทียบ ภายหลังไม่ต้องกล่าว ไซซีเต้าหู้พ้นผิด อันธพาลถูกสั่งขังคุก แม้ว่าครอบครัวเขาคิดจะใช้เงินไถ่ตัวออกมา นายอำเภอก็ไม่กล้า ครอบครัวอันธพาลผู้นั้นไม่พอใจจึงคิดจะสร้างปัญหาให้ฮูหยินผู้นั้น จินตนาการได้เลยว่า…”
“อนาถเสียจริง!” คนข้าง ๆ ร้องรับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ฮูหยินท่านนั้นไม่รู้ที่มา นายอำเภอฟังนาง แม้กระทั่งขุนนางชื่อก้องใกล้ ๆ ยังมาคารวะนาง นี่ยังไม่นับเป็นอะไร เหตุที่นางได้รับการขนานนามว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเพราะนางสอนไซซีเต้าหู้ทำเต้าหู้แห้งที่อร่อยเป็นพิเศษ บัดนี้ไซซีเต้าหู้ทำการค้าได้โดยไม่ต้องสวมเสื้อผ้าบาง ๆ เผยเนื้อหนังแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นฟังคำบรรยายของคนเหล่านั้นก็พอคาดเดาได้ว่า ฮูหยินผู้นี้นอกจากมารดานางยังจะเป็นผู้ใดได้อีก? ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเที่ยวเล่นได้สุขสำราญใจทีเดียว
[1] ไซซีเต้าหู้ : ในบริบทนี้หมายถึง หญิงงามที่ขายเต้าหู้