สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1216 ตอนพิเศษ (84.1)
บทที่ 1216 ตอนพิเศษ (84.1)
หลี่หยวนจงมาเยี่ยมถึงที่บ้านพร้อมกับ ‘หัวที่แตก’ ภายใต้ผ้าพันแผลเพื่อกล่าวคำขอบคุณ
ไป๋จื่อกับติงเซียงขวางเขาไว้
“แม่นางทั้งสองท่าน ข้ามาขอบคุณพี่ใหญ่ชูอี” หลี่หยวนจงเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะความกล้าหาญของเขา ข้ากับคนของข้าคงไม่ต้องคิดแม้แต่จะออกจากภูเขาลูกนั้นอย่างมีชีวิต ต่อเราแล้วพี่ใหญ่ชูอีเป็นมีบุญคุณช่วยชีวิต จะอย่างไรก็ต้องขอบคุณเขาดี ๆ สักครั้ง”
“พวกเราไม่ได้ขัดขวางการขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่าน เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้ คุณชายชูอีมีไข้แล้ว คุณหนูของพวกเรากำลังดูแลเขาอยู่ข้างใน”
“คุณหนูพวกท่านกับพี่ใหญ่ชูอี….” หลี่หยวนจงได้ยินว่าลู่จื่ออวิ๋นกำลังดูแลชูอีอยู่ข้างในด้วยตนเอง ในที่สุดสมองที่ไม่ค่อยจะชาญฉลาดนักของเขาก็ตอบสนอง “พวกเขาสองคน…”
“ไม่ผิด เป็นอย่างที่ท่านคิด” ไป๋จื่อกล่าว
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หยวนจงหายไป เขามองไปทางประตูเศร้า ๆ แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ดังคาด สาวงามย่อมคู่ควรกับวีรบุรุษ หากพี่ใหญ่ชูอีไม่ได้ช่วยข้า ข้าคงต้องลองสู้ดูสักตั้ง เพียงแต่ พี่ใหญ่ชูอีเป็นผู้มีพระคุณของข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจก้าวผ่านกำแพงของผู้มีพระคุณได้ ช่างเถิด ข้าทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวดและยอมแพ้แล้ว”
ติงเซียงระเบิดหัวเราะออกมา
ส่วนไป๋จื่อส่ายหน้า สีหน้าดูเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
นายน้อยโง่เขลาผู้นี้น่าสนใจจริง ๆ
ผู้อื่นเขาเดิมทีก็เป็นสามีภรรยาโดยชอบธรรม ต้องให้เขามาหลีกทางรักให้หรือ? เขาเป็นคนเช่นใดกัน?
“ติงเซียง ไป๋จื่อ…”
“คุณหนู บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อกับติงเซียงได้ยินเสียงของลู่จื่ออวิ๋นจึงรีบหันหลังกลับเข้าห้องไป
หลังจากย้ายเซี่ยเฉิงจิ่นไปที่เตียงแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นก็ไปต้มยาที่ครัว เมื่อเดินออกมาจากห้องก็เห็นหลีหยวนจงกับคนของเขาจึงสาวเท้าเข้าไปหา
“ท่านยังอยู่นี่อีกหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ตอนนี้เขายังไม่ได้สติ ถึงแม้ท่านจะไปดูเขา เขาก็ไม่รู้ ไม่เช่นนั้นอีกสองสามวันค่อยมาเถิด! ท่านกับคนของท่านก็บาดเจ็บเช่นกัน หลายวันนี้ก็รักษาตัวพักฟื้นให้ดี”
“ฮูหยินลู่ ท่านช่างเป็นห่วงพี่ใหญ่ชูอีจริง ๆ พวกท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่?” หลี่หยวนจงยังไม่ยอมแพ้
ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปทางห้องแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นรักแท้ของข้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่หยวนจงยอมแพ้โดยสมบูรณ์ “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าตกหลุมรักฮูหยินตั้งแต่แรกพบ เดิมทีอยากทำความรู้จักฮูหยินเสียก่อนแล้วค่อย ๆ เอาชนะใจท่าน บัดนี้ฮูหยินยอมรับความรู้สึกของตนอย่างใจกว้าง นี่ทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่ได้ชอบคนผิด อีกอย่างฮูหยินงดงามเพียงนี้ กลับไม่เคยตัดสินคนจากเปลือกนอก ข้าไม่ได้บอกว่าพี่ใหญ่ชูอีหน้าตาไม่น่ามอง ข้าเพียงจะบอกว่า…”
จู่ ๆหลี่หยวนจงพลันรู้สึกว่าปากตนเองโง่งมขึ้นมา
เขาอยากจะแสดงท่าทีบางอย่าง ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับเปลี่ยนความหมายทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเสียเปล่า ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขาก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ท่านไม่ต้องอธิบาย วันนี้ร้อนอบอ้าว พวกท่านอย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย กลับไปเถอะ!”
หลี่หยวนจงมองดูดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้วกล่าวคำลาลู่จื่ออวิ๋น
ครึ่งชั่วยามให้หลัง คนของหลี่หยวนจงเข็นรถน้ำแข็งคันหนึ่งมา
“คุณชายบอกว่าอากาศร้อน พี่ใหญ่ชูอีกำลังเป็นไข้ หากมีน้ำแข็งคลายร้อนก็จะหายเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าน้ำแข็งจะไม่อาจลดไข้ แต่ก็สามารถช่วยคลายความร้อนให้ทุกคนได้ เช่นนี้พี่ใหญ่ชูอีจะได้สบายระหว่างรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ”
“ขอบคุณคุณชายพวกเจ้าแทนข้าด้วย”
“คุณชายกล่าวแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาควรทำขอรับ” คนเหล่านั้นส่งของแล้วก็จากไป
เมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็บังเอิญเห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังทุบน้ำแข็งด้วยค้อน ห่อน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ด้วยผ้าแล้ววางลงบนหน้าผากเขา
ความรู้สึกเย็นยะเยือกซึมเข้าสู่ร่างกายเสมือนกับน้ำเย็นหนึ่งจอกที่เทลงในหม้อไฟ ความร้อนสูงพลันค่อย ๆ ลดลงทันที
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเขาตื่นแล้วจึงเอ่ยถาม “ดีขึ้นหรือยัง?”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองใบหน้าที่สดใสของลู่จื่ออวิ๋น
เขามึนหัวอยู่เล็กน้อย
รู้สึกราวกับตนเพิ่งผ่านฝันร้ายอันยาวนานมา ในฝันไม่มีนาง มีแต่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ต่อมานางก็ปรากฏกาย แต่เขากลับจำนางไม่ได้ อีกทั้งยังนำพาปัญหาและความเจ็บปวดมาให้นางเสมอ
“เป็นอะไรไป?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเขามีท่าทีแปลกไปจึงเอ่ยถาม “ท่านยังเจ็บที่ใดอีกหรือไม่? ข้าจะให้ติงเซียงไปเชิญท่านหมอ”
เซี่ยเฉิงจิ่นคว้าฝ่ามือลู่จื่ออวิ๋นไว้ “ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็ลุกขึ้นมากินยาเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นพยุงเขาลุกขึ้นนั่ง
เซี่ยเฉิงจิ่นเผลอเอื้อมมือไปแตะใบหน้าตน สัมผัสได้ถึงอะไรเหนียว ๆ
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าทายาให้ข้าหรือ?”
“ใช่แล้ว…” ลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับ จู่ ๆ ก็ชะงักค้าง “ท่านเรียกข้าว่าอะไร?”
“อวิ๋นเอ๋อร์…” เซี่ยเฉิงจิ่นคว้ามือนางมาวางแนบอก “ข้าจำได้แล้ว อวิ๋นเอ๋อร์”
“ท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นวางถ้วยยาในมือลงแล้วจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านจำได้แล้วจริง ๆ หรือ? ท่านจำได้มากเพียงใด?”
“ทุกสิ่ง”
“เซี่ยเฉิงจิ่น เจ้าคนสารเลว ในที่สุดก็จำได้เสียที!” ลู่จื่ออวิ๋นกอดเซี่ยเฉิงจิ่นไม่ยอมปล่อย “เป็นเพราะถูกก้อนหินกระแทกศีรษะจึงได้ความทรงจำก่อนหน้ากลับมาหรือ? เพียงแต่ถูกกระแทกเช่นนี้จะกระทบกับสมองของท่านหรือไม่ ข้าจะให้ติงเซียงไปเชิญท่านหมอมาติดตามผล ดูว่าร่างกายท่านมีปัญหาที่อื่นหรือไม่”
ท่านหมอตรวจเซี่ยเฉิงจิ่นแล้วเอ่ย “คุณชายท่านนี้ไม่มีปัญหา เพียงแค่ต้องพักผ่อน อาการบาดเจ็บภายนอกของเขาไม่ร้ายแรง สิบวันครึ่งเดือนก็จะฟื้นตัวกลับไปเป็นดังเดิม”
“ขอบคุณท่านหมอ”
ยามนี้เอง ในที่สุดลู่จื่ออวิ๋นก็วางใจได้
ป้าหลินไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงว่าลู่จื่ออวิ๋นดูมีความสุขมาก หลังจากได้รับบาดเจ็บ ‘ชูอี’ ก็ดูสนิทสนมกับหญิงสาวข้างบ้านเป็นพิเศษ พัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งสองรวดเร็วยิ่ง
เซี่ยเฉิงจิ่นรู้ว่าป้าหลินมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน นางคาดหวังมาตลอดว่าลูกชายที่โผล่มาครึ่งทางผู้นี้จะได้แต่งงานสร้างครอบครัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ควรปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลู่จื่ออวิ๋น
“เจ้าหมายความว่าก่อนที่เจ้าจะสูญเสียความทรงจำ แม่นางลู่เป็นภรรยาของเจ้า ลูกทั้งสองของนางก็เป็นลูกเจ้าหรือ?” ป้าหลินเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ขอรับ”
“นางไม่ใช่แม่ม่าย…” ท่านป้าหลินตบริมฝีปากตนหนึ่งที “ดังนั้นนางไม่ใช่แม่ม่าย แต่เพื่อตามหาสามี นางจึงเดินทางจากเมืองหลวงอันไกลโพ้นมาถึงที่นี่หรือ?”
“ขอรับ” เซี่ยเฉิงจิ่นดึงฝ่ามือของลู่จื่ออวิ๋นไปกุม “หากไม่ใช่ฮูหยินมาหาข้า บางทีข้าอาจไม่ได้ความทรงจำกลับมา ท่านแม่ นี่คือภรรยาของข้า ข้ามีลูกแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
ป้าหลินกล่าวทั้งน้ำตา “ดี ๆ เจ้าเด็กคนนี้เป็นของขวัญที่สวรรค์ส่งมาให้ข้าจริง ๆ”
“ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนคำเรียกตามเซี่ยเฉิงจิ่น “ท่านช่วยเขาไว้ เขาเป็นลูกชายของท่าน เช่นนั้นข้าก็เป็นลูกสะใภ้ท่านแล้ว”
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักตัวตนของพวกเจ้า แต่ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจักต้องมาจากสกุลใหญ่มั่งคั่งร่ำรวย ข้าหญิงชราบ้านนอกบ้านนาผู้นี้เอาเปรียบพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รังเกียจข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ มอบชีวิตที่สองให้กับข้า เป็นเพราะความมีเมตตาของท่าน ข้ากับฮูหยินถึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ท่านแม่ ภายหน้าท่านมีความสุขกับลูกสะใภ้เถิดขอรับ!”
“ดี… ดีจริง ๆ”