สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1217 ตอนพิเศษ (84.2)
บทที่ 1217 ตอนพิเศษ (84.2)
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นกับเซี่ยเฉิงจิ่นจำกันได้ กำแพงก็ถูกทำลายลง ทั้งสองบ้านกลายเป็นบ้านเดียวกัน ไม่เพียงแต่สะดวกในการดูแลป้าหลินเท่านั้น แต่การทำเช่นนี้ยังช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม คนในหมู่บ้านไม่รู้จักตัวตนของลู่จื่ออวิ๋นกับเซี่ยเฉิงจิ่นจึงแพร่กระจายข่าวลือว่า ชูอีที่อัปลักษณ์ที่สุดในหมู่บ้านได้รับความโปรดปรานจากสตรีสูงศักดิ์ผู้ลึกลับ ภายหน้าก็กลายเป็นรักครั้งใหม่ของนางแล้ว
ริมแม่น้ำสายเล็ก เซี่ยเฉิงจิ่นพบไข่เป็ดมากมายข้าง ๆ พงอ้อจึงหยิบไข่เหล่านั้นใส่ในตะกร้า
ลู่จื่ออวิ๋นนั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ พงอ้อ เล่นกับดอกไม้ป่าช่อหนึ่งในมือ ดอกไม้ป่ากลายเป็นมงกุฎดอกไม้ด้วยฝีมือการถักทอของนาง
“ดูสิ นี่อะไร?” เซี่ยเฉิงจิ่นยื่นปูตัวใหญ่มาตรงหน้านาง
ลู่จื่ออวิ๋นรับปูตัวใหญ่นั้นมาโดยไม่แม้แต่เปลี่ยนสีหน้า วางใส่ตะกร้าข้าง ๆ แล้วเอ่ย “หาปลาไหลหรือไม่ก็กุ้งแม่น้ำเถอะ ปูเพียงตัวเดียวไม่มีประโยชน์ ยังไม่พอให้ท่านกินคนเดียวเสียด้วยซ้ำ”
“ฮูหยิน ตอนนี้นับวันเจ้ายิ่งคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“ข้าไม่ได้ปรับตัวมากมาย ท่านลืมแล้วหรือ ครอบครัวข้าก่อนหน้านี้ก็เคยอยู่ชนบท ชีวิตที่ท่านเป็นตอนนี้คือชีวิตเช่นเดียวกับที่ข้าและพี่ชายเคยใช้มาก่อน” ลู่จื่ออวิ๋นมองเขา ราวกับบอกว่าท่านรู้น้อยจึงเห็นเรื่องธรรมดาเป็นของแปลก
“พ่อตากับแม่ยายอยู่ใกล้ ๆ นี้ใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด เพียงแต่ท่านวางใจ พวกเขาไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา ข้าว่าท่านพ่อท่านแม่เที่ยวเล่นสนุกยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก”
เมื่อสามีภรรยาสองคนกลับไปจึงพบว่าป้าหลินทางนั้นมีคนมาเยี่ยม
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกข้าไปก่อนละ”
ท่านป้าหลายคนนั้นเห็นทั้งสองคนกลับมาจึงกล่าวลาด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว
เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้าจะเอาของพวกนี้ไปล้าง เจ้าคุยกับท่านแม่ไปเถิด ประเดี๋ยวล้างเสร็จแล้ว เจ้าค่อยสอนข้าว่าทำอย่างไร”
“ท่านทำเป็นหรือ?”
“ไม่เป็น นี่ไม่ใช่ต้องให้เจ้าสอนข้าหรือ?”
“ไยท่านไม่อยากให้ข้าทำเล่า?”
เซี่ยเฉิงจิ่นลูบแก้มนางเบา ๆ “ไม่ว่าจะเป็นปูหรือกุ้งแม่น้ำตัวเล็ก ๆ ก็ล้วนเป็นของที่ทำร้ายมือได้ง่าย ๆ ถึงแม้พวกมันจะตายแล้ว หนามเล็ก ๆ ก้ามเล็ก ๆ เหล่านั้นก็บาดมือได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บแม้แต่น้อย”
ติงเซียงและไป๋จื่อทนมองไม่ไหว
พี่สาวน้องสาวทั้งสองรีบออกไปทำความสะอาดลานบ้าน ระหว่างนั้นก็ทำความสะอาดเล้าไก่ ปล่อยลูกไก่ที่อยู่ข้างในออกมา
“ท่านแม่ ไยพวกเขาจึงมาหาท่าน?” ลู่จื่ออวิ๋นประคองป้าหลินให้นั่งลง
ป้าหลินยามนี้สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ผมของนางมีปิ่นปักผมไม้เกล้าขึ้นไป ปิ่นปักผมไม้นั้นเป็นสามีของนางแกะสลักให้ไว้เมื่อครั้งยังสาว หลายปีมานี้นางปักเพียงปิ่นปักผมไม้อันนี้เท่านั้น มิเช่นนั้นลู่จื่ออวิ๋นคงเปลี่ยนปิ่นปักผมอีกอันให้หญิงชราแล้ว
“พวกนางอยากรู้อยากเห็น คิดจะถามว่าพวกเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ป้าหลินกล่าว “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่ได้น่าละอาย หากข้าบอกความจริงไป คงไม่ได้ทำให้พวกเจ้ายุ่งยากกระมัง?”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรพูดไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ดี” ป้าหลินกล่าว “เพียงแต่ฮูหยินชูอี ถึงแม้ข้าจะมองไม่เห็น แต่ได้ยินพวกเขาบอกว่าเจ้าหน้าตางดงามยิ่ง ชูอีก่อนจะเสียโฉมคงหน้าตาหล่อเหลามากกระมัง? เจ้าไม่รังเกียจที่เขาเป็นอย่างนี้หรือ?”
“ท่านแม่ ข้าแต่งให้เขาไม่ใช่เพราะคำสั่งบิดามารดาหรือวาจาของแม่สื่อ หากแต่เป็นเพราะเขากล่อมให้ข้าตกอยู่ในกำมือเขา ข้าถึงได้ยอมแต่งให้”
“ก่อนหน้านี้กล่อมคนเก่งทีเดียวเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นโน้มตัวเข้าไปหาป้าหลินแล้วกระซิบข้างหู “เขามักจะซื้อของมาให้ข้า เดิมทีข้าก็ไม่ได้ชอบพออะไรเขานัก รู้สึกว่าเขาเจ้าอารมณ์ ดูเหมือนคบหาได้ยาก ทุกครั้งที่พบเขามักจะเกิดเรื่องเสมอ ภายหลังเขาใช้กลอุบายบางอย่างหลอกล่อข้าให้ตกอยู่ในกำมือได้”
เซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ที่ประตู มองดูสตรีสองคน ผู้หนึ่งสาวผู้หนึ่งชรากระซิบกระซาบกันอยู่
สายตาของป้าหลินไม่จับจ้องอยู่ที่ใด ทว่าชั่วขณะนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่ามันเปล่งประกายอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้วจริง ๆ
แน่นอนว่านิสัยชอบพูดจาซุบซิบกันเป็นธรรมชาติของสตรี ไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะอายุมากน้อยเพียงใด ครั้นเมื่อได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงเรื่องราวความเป็นมาของความสัมพันธ์ก็จะมีพลังเปี่ยมล้นขึ้นมาทันที
เซี่ยเฉิงจิ่นกลับไปที่ห้องครัว จัดการกับอาหารท้องถิ่นจากแม่น้ำต่อไป
“ท่านเขย ปูกำลังจะคลานออกไปแล้วเจ้าค่ะ” ติงเซียงตะโกนจากข้าง ๆ “ท่านต้องมัดมันไว้ ไม่ให้มันวิ่งไปมานะเจ้าคะ”
ห่างจากหมู่บ้านออกไปไม่กี่ลี้ ลู่อี้อ่านจดหมายแล้วก็ใช้เปลวไฟเผาจดหมายนั้นทิ้ง
มู่ซืออวี่เข้ามาจากด้านนอก นำกิ่งดอกไม้ที่นางเด็ดมาใส่แจกัน
กิ่งยาว ๆ นั้นดูแล้วแปลกตา ทว่าเมื่อจัดใส่แจกันแล้วกลับดูน่ามองทีเดียว
“ลูกชายคนเล็กแก้วตาดวงใจของเจ้าจะแต่งงานแล้ว” ลู่อี้เอ่ยกับมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันกลับมามองเขา แววตาเต็มไปด้วยความฉงน “ท่านพูดถึงผู้ใด?”
“เจ้าได้ยินไม่ผิด” ลู่อี้หยิบพัดขึ้นมาพัดอ่างน้ำแข็งข้าง ๆ ทำให้ลมเย็น ๆ ลอยไปทางมู่ซืออวี่ “ฉาวจิ่งออกจากบ้านไปเที่ยวเดียวก็รู้แจ้งแล้ว เขาตกหลุมรักกับแม่นางผู้หนึ่ง เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงแม่นางจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นลูกสาวที่หายไปหลายปีของถังกั๋วกง ความหมายของกั๋วกงคือเราคิดจะแต่งลูกสาวบ้านเขานั้นไม่มีปัญหา เพียงแค่ต้องแสดงความจริงใจออกมา ตอนนั้นพวกเราแต่งสะใภ้ใหญ่อย่างไร งานแต่งของสะใภ้รองก็ไม่อาจด้อยกว่ากันนัก”
ถังกั๋วกงมักจะขัดแย้งกับลู่อี้มาโดยตลอด คราวนี้ยังเขียนจดหมายเพื่อ ‘สร้างความยุ่งยาก’ ให้เขาโดยเฉพาะ เพียงแต่ตาเฒ่านั่นไม่กล้าสร้างปัญหามากเกินไป หอสูงที่ควรต้องส่งบันไดให้เขาก็ส่งมา เช่นนี้ทางลู่อี้ก็มีบันไดให้ไต่ลงไปแล้ว
“เด็กคนนี้ ข้ายังคิดจะกลับไปดูสักสกุลให้เขา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว” มู่ซืออวี่หัวเราะ “ความสุขสองเท่ากำลังจะมาเยือน จัดงานแต่งให้ลูกทั้งสองเถิด! หากต้องการให้ครึกครื้นก็ทำให้ใหญ่โตไปเลย ไม่ได้การ ข้าต้องออกแบบเสียก่อน ถึงตอนนั้นค่อยให้พวกเขาเลือกแบบที่ชอบ”
“ฝ่าบาท พระชายา…” เสียงของลู่เยี่ยดังมาจากด้านนอก
ลู่เยี่ยได้สร้างครอบครัว มีลูกสามคนแล้ว ตอนนี้เขาไว้หนวดเคราและดูอ่อนโยนขึ้นมาก ไม่ได้มีใบหน้านิ่งเฉยตลอดทั้งวันดังแต่ก่อน
“เมื่อครู่นี้มีข่าวมาจากหูตาของเรา ท่านเขยฟื้นความทรงจำแล้ว เพียงแต่หญิงในหมู่บ้านที่ช่วยชีวิตท่านเขยไว้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน ท่านเขยกับหนูคุณต้องการดูแลนาง ส่งนางออกเดินทางครั้งสุดท้ายขอรับ”
“เด็กสองคนนี้ต้องการตอบแทนความมีเมตตาของผู้มีพระคุณ” มู่ซืออวี่กล่าว “พวกเราล้วนผ่านการรอคอยเวลามามากมาย ย่อมไม่ขาดเวลาน้อยนิดนี้ ส่วนการแต่งงานของชิงเอ๋อร์และฉาวจิ่งนั้น เขียนจดหมายกลับไปให้พวกเขารออีกหน่อย”
ลู่อี้วางพัดในมือลงแล้วเอ่ย “อยากไปเยี่ยมพวกเขาหรือไม่?”
“ไม่ไปแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “หากพวกเราไป ผลกระทบใหญ่หลวง ฮูหยินท่านนั้นคงอยากจะใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ไม่อยากให้ผู้ใดไปรบกวนพวกเขา”
“ได้ยินว่าไม่นานมานี้เจ้าเพิ่งเปิดร้านไพ่นกกระจอกทำให้ฮูหยินจำนวนมากติดการพนัน พระชายา ขุนนางท้องถิ่นเริ่มบ่นแล้ว กล่าวว่าเพื่อไพ่นกกระจอก สตรีที่นี่แม้กระทั่งสามีกับลูกล้วนไม่ต้องการ งานบ้านงานเรือนก็ไม่ทำ เอาแต่เรื่อยเฉื่อยทั้งวัน” ลู่อี้มองนางอย่างอับจนปัญญา “ไม่เช่นนั้น ปิดร้านไพ่นกกระจอกเป็นอย่างไร?”