สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1219 ตอนพิเศษ (85.2)
บทที่ 1219 ตอนพิเศษ (85.2)
เมื่อเห็นสถานการณ์ในร้าน แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าพิพักพิพ่วนออกมา
คนของทางการล้วนรู้ตัวตนของมู่ซืออวี่กับลู่อี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีคนกล้าก่อปัญหาในร้าน จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวที่ต้นคอ ราวกับจะถูกปลดจากตำแหน่งในชั่วพริบตา
“ท่านเจ้าหน้าที่ทางการ ข้าจะฟ้องร้อง ขณะเดียวกันก็ขอให้พวกท่านตรวจสอบคดีเมื่อห้าปีที่แล้วโดยละเอียดด้วย” มู่ซืออวี่กล่าว “คนที่ชื่อจางหลินผู้นี้ต้องสงสัยว่าล่อลวงสตรีครอบครัวดี ๆ มาเป็นอนุ มิหนำซ้ำยังทรมานและสังหารภรรยาเดิมของตน”
“ใต้เท้า ท่านอย่าไปฟังนางพูดจาเหลวไหล หลักฐานเล่า?” จางหลินตะโกนราวกับตนถูกใส่ความ
หลักฐานกลายเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว
นังแพศยาผู้นั้นเป็นแค่เพียงกองกระดูกกองหนึ่งตั้งแต่ห้าปีก่อน ยังจะตรวจสอบได้อย่างไร?
ส่วนอู๋ซานเหนียง ในเมื่อนางหนีไป ย่อมไม่กลับมาอีกแล้ว ถึงแม้จะกลับมาแล้วอย่างไร นางคลอดลูกสามคนให้เขา มีสายเลือดทั้งสามคนนี้ นางจะกล้าพูดจาเหลวไหลหรือ?
“ในเมื่อฮูหยินกล่าวเช่นนี้ย่อมต้องตรวจสอบ” เจ้าหน้าที่ทางการกล่าว
จางหลินมองเจ้าหน้าที่ทางการอย่างตื่นตระหนก “พวกท่านถูกสตรีผู้นี้ซื้อตัวไปแล้วใช่หรือไม่?”
“หุบปาก!” เจ้าหน้าที่ทางการเตะเข้าที่ตัวของจางหลิน “รู้ว่าตนกำลังพูดกับผู้ใดหรือไม่?”
ลู่อี้มาถึงแล้ว
เมื่อเห็นสนามรบนี้ เขาก็เดินเข้าไปหามู่ซืออวี่ “เป็นเขาที่ก่อเรื่องหรือ?”
“ใช่ เดิมทีคิดว่าเป็นคนขี้เมาก่อเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขา คนผู้นี้ แต่ก่อนข้าพอได้ยินชื่อเสียงที่โด่งดังมาบ้าง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะพาตัวเองมาถึงหน้าประตูร้านข้า”
ตอนที่อู๋ซานเหนียงเล่าประสบการณ์ให้ฟัง มู่ซืออวี่บอกว่านางควรไปแจ้งทางการ ทว่าอู๋ซานเหนียงบอกว่าที่บ้านมีลูกสามคน นางจึงไม่กล้าแจ้งทางการ
นึกไม่ถึงว่านางไม่กล้าไปแจ้งทางการแต่กลับกล้าหลบหนีในยามนี้
ไม่ถูก เป็นไปไม่ได้ที่อู๋ซานเหนียงจะหลบหนีไป
นางทนมาหลายปีก็เพื่อลูกทั้งสามคนนั้น หากนางต้องการหลบหนี คงจะหนีไปนานแล้ว คงไม่รอจนถึงวันนี้
จางหลินร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ในยามนี้เอง เขามองออกแล้วว่าคนของทางการโอนเอนไปทางนาง
“แน่นอนว่าอยู่บ้าน”
“ตอนที่เจ้าออกมายังอยู่ที่บ้านหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“อาจจะ… ใช่กระมัง…” จางหลินหลบสายตา
มู่ซืออวี่มองเจ้าหน้าที่ทางการข้าง ๆ “บอกให้เขากล่าวความจริง”
เจ้าหน้าที่ชักดาบออกมา จ่อไปที่คอของจางหลิน “ฮูหยินให้เจ้าตอบ เจ้าก็ตอบมาแต่โดยดี!”
“ข้าไม่รู้นี่นา!” จางหลินร้องเสียงสูง “ข้าออกไปเล่นข้างนอกเพียงสองสามวัน พอกลับถึงบ้านก็ได้ยินท่านแม่บอกว่าอู๋ซานเหนียงไม่ได้กลับมา ข้ายังไม่เห็นลูก ไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ใด”
มู่ซืออวี่เอ่ยกับเจ้าหน้าที่ทางการ “ท่านไปดูที่บ้านสกุลจาง หากเด็กไม่เป็นไรก็แล้วไป หากเกิดเรื่องอะไร ยังต้องตรวจสอบดูอีกครั้ง”
เพื่อลูก ๆ แล้ว อู๋ซานเหนียงไม่มีทางที่จะจากไปทั้งอย่างนี้ มู่ซื่ออวี่มองออกว่านางห่วงใยลูก ๆ มากเพียงใด หากนางทอดทิ้งลูกได้ลง คงไม่ทนกับความคับข้องใจมานานหลายปี
ข้างนอกมีคนมากมายมายืนออกัน ชาวบ้านเห็นการต่อสู้ครั้งนี้จึงเอ่ย “ฮูหยินมู่ท่านนั้นเป็นผู้ใดหรือ?”
มู่*[1] เป็นชื่อที่มู่ซืออวี่ใช้เรียกตนเองกับโลกภายนอก
ท้ายที่สุดแล้วแซ่ ‘มู่’*[2] นี้โดดเด่นเกินไป อาจถูกผู้อื่นเชื่อมโยงไปถึงตัวตนของนางได้ง่าย ๆ
“ข้าว่าคงมีที่มาไม่ธรรมดา” คนข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “แต่ไรมาข้าไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ อีกอย่าง พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่ามือเท้าของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตอนที่เข้ามาสั่นเทาเพียงใด”
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ทางการก็กลับมาจากบ้านสกุลจาง
พวกเขาพาพ่อแม่ของจางหลินมาด้วย
มารดาของจางหลินเป็นสตรีที่ดูใจร้ายผู้หนึ่ง
“ร้านไพ่นกกระจอกของพวกเจ้าทำร้ายผู้คนไม่น้อย ยามนี้ลูกสะใภ้ข้าหายไปแล้ว พวกเจ้าไม่คิดจะมอบนางออกมา แต่ยังจะรายงานทางการให้มาจับเรา นี่มันเหตุผลอะไรกัน? ทุกวันนี้ทางการควรคุ้มครองชาวบ้านจึงจะถูก เหตุใดถึงช่วยคนมีอำนาจเหล่านี้รังแกชาวบ้านตาดำ ๆ เล่า?”
พ่อเฒ่าจางกล่าว “ฮูหยินท่านนี้ ท่านหลอกล่อลูกสะใภ้ข้าไป พวกเราไม่ต้องการอะไรมากมาย ค่าชดเชยหนึ่งร้อยตำลึงเงินนับว่าไม่มากไปกระมัง! หากท่านคิดว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงินมากไป พวกเราก็ประนีประนอมกันได้ ไม่จำเป็นต้องแจ้งทางการ เช่นนี้ก็ไม่ต้องเสียอารมณ์จนเกินไปใช่หรือไม่?”
ลู่อี้ดื่มชาอยู่ข้างๆ
พระชายาหมู่นี้เบื่อเกินไปแล้ว ในเมื่อมีคนมาให้นางเล่นถึงหน้าประตู เขาก็ไม่ควรรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของนาง
เขามาที่นี่เพราะกังวลว่าพระชายาจะต้องกล้ำกลืนความอัปยศ ถึงอย่างไรลู่เยี่ยก็ไม่อยู่ที่นี่ คนงานในร้านไพ่นกกระจอกเหล่านี้ล้วนเป็นคนธรรมดา หากพบเจอคนมีวรยุทธ์ พระชายาจะต้องทนทุกข์เป็นแน่ เขาต้องระวังไม่ให้นางเสียเปรียบ
มู่ซืออวี่นับว่าเข้าใจแล้ว
ที่แท้ชายผู้นั้นมาสร้างปัญหา ไม่ใช่เพื่อหาภรรยา หากแต่มาเพื่อรีดไถ
กิจการร้านไพ่นกกระจอกของนางแห่งนี้เป็นไปด้วยดี ชายคนนั้นดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไรจึงคิดจะรีดไถเงิน เอาตัวรอดด้วยการขายภรรยา
“พวกท่านตรวจสอบพบสิ่งใด?”
“เด็กสามคนนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านสกุลจางขอรับ”
“พบสิ่งใดในที่เกิดเหตุหรือไม่?”
“เสื้อผ้าล้วนไม่มีแล้วขอรับ ทั้งยังไม่มีร่องรอยของเด็ก ๆ ดูจากเบาะแสที่เหลืออยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว เด็กเหล่านั้นน่าจะไม่ได้อยู่ที่บ้านหลายวันแล้วขอรับ”
เจ้าหน้าที่ทางการที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดผู้หนึ่งก้าวออกมาเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยินท่านนี้ ข้าน้อยพบบางอย่าง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยถึงหรือไม่”
“ท่านมีสิ่งใดก็พูดออกมาเถอะ ไม่เป็นไร”
“ข้าพบคราบเลือดบนผนัง” เจ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นกล่าว “หากเป็นห้องครัว มีคราบเลือดก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม คราบเลือดอยู่ในห้องนอน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากคราบเลือดข้างเตียง ควรเกิดขึ้นสองวันแล้วขอรับ”
มู่ซืออวี่หันไปมองผู้เฒ่าทั้งสอง “อธิบายมา”
“ข้าระหว่างทำไร่ไม่ระมัดระวังจึงได้รับบาดเจ็บที่ขาและทิ้งรอยเลือดเอาไว้” พ่อเฒ่าจางม้วนขากางเกงขึ้นให้ดูบาดแผล
“เปิดผ้าออก”
พ่อเฒ่าจางไม่คิดว่ามู่ซืออวี่จะอยากเห็นขาของเขาจริง ๆ
เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านเป็นสตรีผู้หนึ่ง…”
เจ้าหน้าที่ทางการจ่อดาบแนบลำคอเขา “เจ้าไม่เปิด ข้าจะช่วยเจ้าเปิด”
“ข้าเปิด ข้าเปิด…”
พ่อเฒ่าจางเปิดผ้าพันแผลออก
มีคราบเลือดบนผ้าพันแผลจริง ๆ
เมื่อดูที่ขาพ่อเฒ่าจาง ตรงนั้นมีแผล เพียงแต่แผลนั้นฟื้นตัวได้ไม่เลว
เจ้าหน้าที่ทางการเมื่อครู่เอ่ยขึ้น “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านน่าจะเกินสิบวันแล้ว ไม่ควรมีคราบเลือดสด ๆ เช่นนี้ คราบเลือดที่พบไม่ใช่ท่านที่ทิ้งไว้”
“เหตุใดจึงไม่ใช่ข้าทิ้งไว้? นั่นเป็นข้าทิ้งไว้เอง!” พ่อเฒ่าจางกล่าวอย่างร้อนรน “นายท่าน บาดแผลที่ขาข้านานกว่าสิบวันจริง ๆ แต่นั่นเป็นเลือดข้า”
“ท่านกระตือรือร้นที่จะปกปิดเพียงนี้ เพราะคราบเลือดนั้นมีความลับอยู่ใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่กล่าว “นายท่านเจ้าหน้าที่ทางการ ปัญหาชัดเจนเพียงนี้ คงไม่ต้องให้ข้าสอนวิธีตรวจสอบให้พวกท่านกระมัง? ”
เจ้าหน้าที่หลายคนมองหน้ากันไปมาด้วยความสับสน
พวกเขาหันไปมองลู่อี้ที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ครอบครัวนี้คงเบื่อหน่ายกับชีวิตแล้วจริง ๆ คิดจะรีดไถผู้ใดไม่รีดไถ กลับรีดไถผู้สูงศักดิ์สองท่านนี้ บัดนี้ดูท่าแล้ว พวกเขากำลังยกหินทุ่มเท้าตนเองชัด ๆ
[1] มู่ (沐) : คำพ้องเสียงกับแซ่มู่ (慕)ของมู่ซืออวี่
[2] มู่ (慕) : จากชื่อของมู่ซืออวี่ (慕思雨)