สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1222 ตอนพิเศษ (87.1)
บทที่ 1222 ตอนพิเศษ (87.1)
กลางโถงไว้ทุกข์มีโลงศพใบหนึ่งตั้งอยู่ รอบ ๆ แขวนประดับด้วยผ้าไหมสีขาว ขณะที่เซี่ยเฉิงจิ่นกับลู่จื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ ในชุดไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ
ด้านหน้าพวกเขาเป็นกระถางใบหนึ่ง ในกระถางมีเงินกระดาษเผาอยู่
ป้าหลินจากไปแล้ว…
ก่อนจากไป นางมีบุตรชายและลูกสะใภ้คอยดูแลในบั้นปลายของชีวิตจึงจากไปอย่างสงบ
เชี่ยเฉิงจิ่นเลือกโลงศพที่ดีที่สุดให้นาง จากนั้นก็เชิญพระมาปัดเป่าให้ จากนั้นก็เลือกทำเลที่ฝังศพที่ดีที่สุด คิดคำที่จะสลักบนศิลาจารึก โดยเขียนว่า ‘สุสานของนางหลิน มารดาผู้เป็นที่รักของเซี่ยเฉิงจิ่น’
หลายวันต่อมา งานทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
ลู่จื่ออวิ๋นหยิบยาขี้ผึ้งขึ้นมาทาบนใบหน้าของเซี่ยเฉิงจิ่นแล้วกล่าว “หากท่านชอบที่นี่ พวกเราค่อยกลับมาภายหลัง”
“กลับมานั้นต้องกลับแน่ แต่ไม่ใช่มาอยู่ยาว เพียงแต่มาเยี่ยมหลุมศพท่านแม่” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “อวิ๋นเอ๋อร์ ระหว่างที่ข้าความจำเสื่อม ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ”
“พวกเราเป็นสามีภรรยา สามีภรรยาเดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดข้าก็อยู่ที่นั่น”
“อวิ๋นเอ๋อร์ รออยู่กับท่านแม่ครบหนึ่งเดือนแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ!”
“ดี”
หนึ่งเดือนต่อมา เซี่ยเฉิงจิ่นกับลู่จื่ออวิ๋นแจกจ่ายของใช้ในบ้านที่เหลือให้กับคนในหมู่บ้าน
คนในหมู่บ้านได้รับข้าวของ เมื่อเห็นทั้งสองคนเตรียมจะจากไปก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่พักหนึ่ง
“ท่านป้าหลินเพิ่งจากไป พวกท่านก็จะไปแล้วเช่นกัน พวกท่านวางแผนไว้อย่างไรหรือ?”
“พวกเราตั้งใจจะกลับไปที่บ้านเดิม” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วง แต่วางใจเถิด พวกเรามีที่ไป”
“พวกเราตอนนี้ยังรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน” คนข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ตอนที่ชูอีเพิ่งมา พวกข้ากลัวเขามากทีเดียว บาดแผลบนใบหน้าเขาน่ากลัวเกินไป พวกข้ายังคิดว่าเขา… ถึงวันนี้พวกเราก็เข้าใจแล้ว ชูอีไม่ใช่คนชั่วช้า เขาปรนนิบัติท่านป้าหลินอย่างเต็มใจมานานเพียงนี้ ดียิ่งกว่าบุตรชายแท้ ๆ ของท่านป้าหลินเสียอีก ป้าหลินมีวาสนา ท้ายที่สุดจึงได้ลูกชายที่ดีเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เป็นพวกเราอวดรู้เอง”
คนอื่น ๆ ล้วนเห็นพ้องต้องกัน
เซี่ยเฉิงจิ่นได้ยินเสียงนี้ก็รู้ว่าคนของพวกเขามาแล้ว
เขาเอ่ยกับคนในหมู่บ้าน “ของที่นี่พวกท่านชอบสิ่งใดล้วนนำไปได้ เพียงแต่บ้านนี้ต้องเก็บไว้ให้ข้า หากข้ากับฮูหยินมีเวลาจะกลับมาเยี่ยมหลุมศพท่านแม่ ถึงตอนนั้นจักต้องมีที่อยู่อาศัยสักที่”
“วางใจ พวกข้าจะช่วยดูแลบ้านให้พวกท่าน”
เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าวขอบคุณแล้วจูงมือลู่จื่ออวิ๋นเดินออกไปข้างนอก
ชาวบ้านต่างตามพวกเขา
เมื่อเห็นในลานบ้านมีคนชุดดำยืนอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งข้างชายชุดดำเหล่านี้ล้วนมีม้าหนึ่งตัว พวกชาวบ้านต่างก็ผงะถอยหลังสองสามก้าวด้วยความตกใจ
“นายท่าน ท่านอ๋องมีคำสั่ง พวกเราจำต้องรุดกลับเมืองหลวงแล้ว” หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยขึ้น
เซี่ยเฉิงจิ่นพยักหน้า “อืม เข้าใจแล้ว”
“คารวะคุณหนูใหญ่” คนชุดดำค้อมคำนับลู่จื่ออวิ๋นอีกครั้ง “คุณหนูใหญ่ พระชายากำชับไว้ว่า เพื่อประหยัดเวลา นางกับท่านอ๋องจะล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว รอพวกท่านอยู่ที่เมืองหลี่เจีย”
“เข้าใจแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “พวกเราออกเดินทางทันทีเถอะ”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้าน เช่นนั้นพวกข้าไปก่อนแล้ว”
“ดี… ดี…” หัวหน้าหมู่บ้านงุนงง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร
ท่านอ๋อง พระชายาอะไรกัน? เขากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเขาจะได้ยินชื่อที่มีแต่ในบทละครได้อย่างไร?
“หัวหน้าหมู่บ้าน สองคนนี้เป็นผู้ใดกัน? ท่านอ๋อง พระชายาอะไร พวกเขากำลังขู่ให้เรากลัวใช่หรือไม่?”
“ข้าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “พวกเขาคงไม่ได้ข่มขู่เรากระมัง? พวกเขาประเดี๋ยวก็จะจากไปแล้ว ข่มขู่พวกเราไปมีประโยชน์อะไร บ้านหลังนี้เดิมทีก็เป็นเขาที่ออกเงินซ่อมแซม คนในหมู่บ้านเราไม่มีทางแย่งชิงบ้านเขาไปได้ เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องโกหกใหญ่โตเพียงนี้”
“เช่นนั้น ท่านอ๋องกับพระชายาเป็นผู้ใดหรือ?”
ตัวตนที่แท้จริงของชูอีและลู่จื่ออวิ๋นกลายเป็นปริศนาในหมู่บ้าน จนกระทั่งหลายปีต่อมา คนในหมู่บ้านถึงได้เห็นลู่จื่ออวิ๋นกับเซี่ยเฉิงจิ่นกลับมากวาดหลุมศพ ถึงได้รู้ตัวตนของทั้งสองคนจากบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติพวกเขา ชาวบ้านถึงกับร่ำไห้คร่ำครวญ เสียใจกับเรื่องที่ทำลงไปอยู่พักหนึ่ง แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง
สามีภรรยาทั้งสองควบม้าออกไป
สองวันให้หลัง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหลี่เจียและได้พบกับลู่อี้กับมู่ซืออวี่ที่กำลังเพลิดเพลินกับเทศกาลโคมไฟในเมือง
ต่อไปถึงเวลาที่ต้องเร่งเดินทางแล้ว
หลายเดือนต่อมา หลังจากประเดี๋ยวรีบเร่งประเดี๋ยวค่อย ๆ เดินทาง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหลวง
ประตูเมืองหลวงได้รับการปรับปรุงใหม่ ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากทีเดียว เช่นเดียวกับสถานการณ์ในยามนี้
ผู้เป็นฮ่องเต้ยังเยาว์วัย ขุนนางผู้รับใช้ฮ่องเต้เป็นขุนนางเยาว์วัย ทั่วทั้งเมืองจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
“นั่นคืออ๋องลู่กับพระชายาลู่กระมัง?”
“เป็นพวกเขาจริง ๆ ดูเหมือนว่าสกุลลู่กำลังจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นแล้ว”
“การแต่งงานระหว่างคุณหนูรองสกุลลู่กับสกุลซ่งควรกำหนดแล้ว แม้สกุลลู่ไม่ร้อนใจ สกุลซ่งก็ร้อนใจ การแต่งงานของทั้งสองคนถูกเลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาของใต้เท้าซ่งน้อยจ้องมองคุณหนูรองลู่จนแทบจะทะลุแล้ว”
“ต้องกล่าวว่า ใต้เท้าซ่งน้อยชอบคุณหนูรองลู่จริง ๆ สมัยก่อนผู้ใดก็บอกว่าเมื่อเกิดเป็นสตรีก็ควรเป็นลูกสาวคนโต ตอนนี้ผู้ใดล้วนแต่กล่าวว่า เกิดเป็นสตรีก็ควรเป็นลูกสาวคนรองสกุลลู่ วาสนาของคุณหนูรองเทียบแล้วยังมากกว่าคุณหนูใหญ่เสียอีก”
เซี่ยเฉิงจิ่นจับมือลู่จื่ออวิ๋นพลางเอ่ย “คนเหล่านี้ช่างเกียจคร้าน กล่าวไปเรื่อยเปื่อยจริง ๆ ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ฮ่องเต้ฮุ่ยลดภาษีแล้วทำให้พวกเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น เรื่องไร้สาระถึงได้อัดแน่นเต็มปาก”
“พวกเขาก็ไม่ได้พูดผิด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ความรู้สึกที่คุณชายซ่งมีต่อน้องสาวข้าเป็นที่รู้กันดีทุกคน น้องสาวข้าโชคดีจริง ๆ อย่างไรก็ตาม มีบางคำพูดที่พวกเขากล่าวได้ไม่ถูกต้อง วาสนาของข้าไม่ได้น้อยไปกว่าน้องหญิง ท่านพี่ ผู้อื่นกล่าวอย่างไรก็ไม่ได้มีผลต่อข้า ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ สำหรับพวกเขาแล้ว พวกข้าพี่น้องก็เป็นเพียงหัวข้อพูดคุยแก้เบื่อเท่านั้น มีวาสนาอะไรกัน แต่ไรมาโชควาสนาก็ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษมอบให้ได้”
“เจ้านี่นะ…”
ทางเข้าจวนลู่
ลู่จื่อชิงรุดเข้ามาอย่างเร็วรี่
“พี่หญิง…”
ลู่จื่อชิงห้อตะบึงม้ามาจากข้างนอก
นางเห็นลู่จื่ออวิ๋นอยู่ในฝูงชนจึงกระโดดลงจากหลังม้าและปรี่เข้าไปหา
ลู่จื่ออวิ๋นรีบรับนางไว้โดยเร็ว
“พี่หญิง…” ลู่จื่อชิงกอดลู่จื่ออวิ๋นไว้ไม่ยอมปล่อย
ลู่จื่อชิงสูงกว่าเล็กน้อย รูปร่างสมส่วน ลู่จื่ออวิ๋นดูบอบบาง เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่จื่อชิงแล้วยิ่งดูตัวเล็ก ในเรื่องความสูงแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นด้อยกว่า แต่ลู่จื่อชิงกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ยามนี้น้องสาวตัวสูงกำลังโผหาพี่สาวตัวเล็กบอบบาง ความตื่นเต้นของนางแทบทำให้พี่สาวผู้อ่อนโยนหายใจไม่ออก
เมื่อซ่งหานจือรุดมาถึงและเห็นภาพนี้ เขาก็รีบเข้าไปดึงลู่จื่อชิงให้ถอยออกมาสองสามก้าว “พี่หญิงแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว เจ้าเบา ๆ หน่อย”
เซี่ยเฉิงจิ่นกำลังคุยกับลู่อี้จึงไม่ได้สังเกตสถานการณ์ทางนี้ เมื่อเขามาถึง ลู่จื่อชิงก็โดนแยกออกจากลู่จื่ออวิ๋นแล้ว
“มีอะไรหรือ?” เซี่ยเฉิงจิ่นเห็นสีหน้าของลู่จื่ออวิ๋นผิดปกติ ดูเหมือนจะแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
“ไม่มีอะไร” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “พวกเรารีบเข้าไปเถอะ! รีบเร่งเดินทางมาตลอดทาง ร่างข้าใกล้จะพังแล้ว”