สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1223 ตอนพิเศษ (87.2)
บทที่ 1223 ตอนพิเศษ (87.2)
“พี่หญิง ร่างกายท่านใช้การไม่ได้เอาเสียเลย” ลู่จื่อชิงโอบไหล่ลู่จื่ออวิ๋นอย่างไม่สนใจกฎเกณฑ์ “ข้าจะบอกท่าน นับประสาอะไรกับการเดินทางเพียงไม่กี่เดือน แม้จะเป็นหนึ่งปีก็ไม่เป็นปัญหาใด ๆ โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่และสวยงาม ข้าก็อยากออกไปดู เพียงแต่ซ่งหานจือแย่ที่สุด เขากลัวว่าหลังจากข้าออกจากเมืองหลวงแล้วจะไม่กลับมา ข้าจึงต้องรั้งอยู่ในเมืองหลวงรอพวกท่าน เขาบอกว่าพวกท่านกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง หากข้ารีบออกไปพบพวกท่านในเวลานี้อาจจะคลาดกันระหว่างทาง ท่านว่าเขาจงใจหลอกข้าหรือไม่?”
“เจ้าเพียงแค่พูดไปเรื่อยกระมัง!” มู่ซืออวี่เดินเข้ามา “ข้ากับพ่อเจ้าอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงย่อมไม่อาจซ่อนเร้นสายตาพวกเรา หลายปีมานี้ หากไม่ใช่หานจือคอยดูแลเจ้า ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว เกรงว่าเมืองหลวงนี้จะไม่พอให้เจ้าขยับตัววิ่งเล่น”
สิงเจียซือเดินอุ้มท้องออกมา เมื่อเห็นมู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ ก็ค้อมคำนับอย่างรวดเร็ว
ข้างสิงเจียซือมีแม่นางน้อยอิ่มเอิบผู้หนึ่ง แม่นางน้อยจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยความสงสัย ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายเป็นพิเศษ
“น้องจิ่วจู๋ ท่านนี้คือพระชายาลู่ที่เจ้าใฝ่ฝันอยากจะพบ แม่สามีของข้าและว่าที่แม่สามีของเจ้า” สิงเจียซือกล่าวแนะนำ
แก้มของหลิวจิ่วจู๋แดงเรื่อขึ้นมา นางค้อมคำนับมู่ซืออวี่ทันที
เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาครั้งแรกที่ไม่รู้แม้แต่มารยาททั่วไป ยามนี้นางดูรอบรู้และมีไหวพริบขึ้นกว่าก่อนมาก เพียงแต่ดวงคู่นั้นดูเฉลียวฉลาดยิ่ง ราวกับกำลังบอกว่าท่าทีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก
มู่ซืออวี่ได้เห็นรูปหลิวจิ่วจู๋นานแล้ว
ถึงแม้ว่าภาพนั้นจะย่ำแย่มาก ไม่อาจวาดเสน่ห์ของนางลงไปได้ แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของนางที่มู่ซืออวี่ได้รับก็ทำให้พอรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร
“ที่นี่ลมแรง เข้าไปคุยกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ”
หลิวจิ่วจู๋แอบมองมู่ซืออวี่เป็นระยะ ๆ
นางมองมู่ซืออวี่ที หันไปมองลู่จื่ออวิ๋นที
“พี่หญิงสิง…” หลิวจิ่วจู๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูใหญ่สกุลลู่ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้อย่างที่เล่าลือกันจริง ๆ นะเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดว่าบนโลกจะมีผู้ที่งดงามเช่นนาง”
“เจ้าไม่ได้เจอสามีข้าแล้วหรือ?” สิงเจียซือหัวเราะ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพวกเขาคล้ายคลึงกันมาก”
“แต่ว่าใต้เท้าลู่เป็นบุรุษ คุณหนูใหญ่ลู่เป็นสตรี ใต้เท้าลู่ยามไม่โกรธยังน่าเกรงขาม เดิมทีข้าก็ไม่กล้ามองเขาให้ถี่ถ้วนแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาน่ากลัวเกินไป คุณหนูใหญ่ลู่ดูอ่อนโยนมีคุณธรรม ดูแล้วน่าจะคบหาได้ง่ายเจ้าค่ะ”
พ่อบ้านรายงานว่าลู่ฉาวอวี่อยู่ที่ใด แจ้งว่าหมู่นี้เขายุ่งอยู่กับงานราชการ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้กลับมาที่จวนหรือไม่
“ข้าจะไปดู” ลู่อี้เอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ฉีเซียวกับฝ่าบาทยังไม่กลับมา ทั้งสองคนไม่วางใจเด็กหนุ่มเหล่านี้ ข้าจะไปดูให้ ถือเสียว่าไปตรวจดูว่าหมู่นี้พวกเขาทำงานราชการเป็นอย่างไร”
“ท่านลาออกแล้ว หน้าที่ตนก็ส่วนหน้าที่ตน ท่านไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ไยต้องเข้าไปยุ่งกงการของเด็ก ๆ ด้วยเล่า” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างขัดเคือง “ท่านบอกว่าไปพูดคุยกับสหายเก่า เรื่องนี้พอเข้าใจได้ แต่หากจะไปสำนักราชเลขาและสร้างปัญหาให้ลูกชาย เช่นนั้นอยู่ที่บ้าน ที่ใดก็ไม่ต้องไปจะดีกว่า หากฉาวอวี่ของเราทำได้ไม่ดี ชาวบ้านจะชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือ?”
ลู่อี้อับจนหนทาง “ได้ ๆ ข้าจะไปพบหน้าสหายเก่า”
เขาไม่รู้สถานการณ์ในเมืองหลวง แต่สหายเก่าเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่ หากลองสอบถามดูก็จะรู้ได้ เช่นนี้เมื่อกลับไปพบไท่ซ่างหวงกับฉีเซียวจะได้รายงานผลได้
มู่ซืออวี่ยกมือลูบท้องสิงเจียซือ “ใกล้คลอดแล้วกระมัง?”
สิงเจียซือพยักหน้าอย่างเขินอาย
“ให้หมอหลวงจับชีพจรตรงเวลาหรือไม่?”
“พระชายาโปรดวางใจ ใต้เท้าลู่น้อยกังวลเป็นอย่างมาก หมอหลวงมาตรวจชีพจรทุกวันเจ้าค่ะ” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “พระชายา จิ่วจู๋มีปัญหามากมายจะขอคำชี้แนะจากท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่ามา ข้าจะดูว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่” มู่ซืออวี่อมยิ้มพลางมองนาง
“ข้าโตมากับการฟังเรื่องราวของท่าน…” หลิวจิ่วจู๋ตาระยิบระยับไปด้วยดวงดาว “ข้าอยากรู้ว่าเรื่องมหัศจรรย์เหล่านั้นมีจริงหรือไม่เจ้าค่ะ?”
สิงเจียซือเห็นหลิวจิ่วจู๋ไม่ขัดเขินยามอยู่ต่อหน้ามู่ซืออวี่แม้แต่น้อย พูดคุยเจื้อยแจ้วอย่างผ่อนคลาย ดูจากท่าทีของมู่ซืออวี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าชอบว่าที่ลูกสะใภ้ผู้นี้เป็นอย่างมาก
ในที่สุดลู่อี้ก็ไปสำนักราชเลขา
เมื่อใต้เท้าประจำสำนักราชเลขาธิการเห็นเขา พู่กันในมือก็ตกลงบนโต๊ะ ทิ้งรอยหมึกขนาดใหญ่เอาไว้
“ใต้เท้าวัง ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ ฎีกาฉบับนี้สำคัญยิ่ง ตอนนี้ท่านกลับทำให้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว… ท่านอ๋องลู่?” ขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจะตำหนิขุนนางที่ทำผิด แต่เห็นแววตาของฝ่ายหลังอับแสงลงจึงมองตามสายตาของเขาไป เมื่อเห็นลู่อี้ที่จากเมืองหลวงไปนานเดินเข้ามา ปากก็พลันอ้ากว้าง ราวกับจะยัดไข่เป็ดลงไปได้
ลู่อี้หยิบคดีบนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นความคิดเห็นบนหนังสือแต่ละเล่มก็จำได้ว่าเป็นลายมือลูกชายตน
ดังคาด ลูกชายผู้นี้ของเขาเทียบแล้วยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก
คดีเดียวกันนั้น หากเป็นเขา บางทีอาจคิดวิธีแก้ปัญหาที่คล้ายกันได้ ทว่าคงจะเขียนอธิบายไม่ได้ชัดเจนและง่ายดายอย่างที่ฉาวอวี่ทำเป็นแน่
“ใต้เท้าลู่น้อยของพวกเจ้าเล่า?”
“ใต้เท้าลู่น้อยไปที่ประตูเมืองแล้วขอรับ” ขุนนางข้าง ๆ กล่าว “กำแพงที่ประตูเมืองมีปัญหาบางอย่าง เมื่อวานมีก้อนหินหล่นลงมาทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน กำแพงเพิ่งซ่อมแซม กล่าวตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ใต้เท้าอยากรู้ว่าช่างซ่อมกำแพงทำลวก ๆ ไม่ทำงานนี้ให้ดีหรือไม่ ถึงได้เกิดเรื่องอันตรายเช่นนี้ขึ้นขอรับ”
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไยเขาต้องไปจัดการด้วยตนเอง?”
“ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นเสนาบดีกรมโยธาขอรับ เดิมทีเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ ทว่าเสนาบดีกรมโยธากลับทำเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ไม่ดี ใต้เท้าไม่พอใจจึงไปตรวจดูว่านี่เป็นอุบัติเหตุหรือเป็นฝีมือมนุษย์ซึ่งเกิดจากการก่อสร้างไม่ดี หากเป็นความผิดของกรมโยธา เสนาบดีกรมโยธาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน หากเป็นอุบัติเหตุ เรื่องนี้จะได้ไม่เป็นการอยุติธรรมต่อเขาขอรับ”
“เอาละ พวกเจ้าทำงานต่อเถิด ไม่จำเป็นต้องทักทายข้า” ลู่อี้เดินเข้าไปในห้องทำงานของลู่ฉาวอวี่
เขานั่งลงตรงที่นั่งลู่ฉาวอวี่ เปิดบันทึกออกอ่าน
นิสัยของลู่ฉาวอวี่แย่ยิ่งกว่าเขาบิดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก
เย็นชา ความเย็นชาเช่นนี้สามารถเห็นได้จากตัวหนังสือในแต่ละบรรทัด ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจักต้องลำบากมากเป็นแน่ ด้วยเพราะอยู่ในจุดสูงสุดเช่นนี้ ลู่ฉาวอวี่จำต้องเด็ดขาด ดูเพียงผลลัพธ์ไม่ใช่กระบวนการ
ลู่อี้เจอพู่กันเล่มหนึ่งอยู่ในลิ้นชัก
พู่กันเล่มนั้นเก่าเล็กน้อย ขนบนพู่กันแทบหลุดร่วงหมดแล้ว อีกทั้งที่วางพู่กันก็เก่าเช่นกัน ตัวอักษรที่สลักไว้บนนั้นเห็นไม่ชัดเจน
เมื่อเห็นพู่กันด้ามนี้ ลู่อี้ก็นึกย้อนกลับไปที่ตอนที่ลู่ฉาวอวี่จับพู่กันเป็นครั้งแรก
พู่กันด้ามนี้เป็นของขวัญที่เขาได้หลังจากเรียนรู้บทเรียนพื้นฐานสำเร็จ ด้วยสถานการณ์การเงินของครอบครัวในยามนั้น พู่กันด้ามนี้นับว่าถูกที่สุด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปี พู่กันด้ามนี้จะยังอยู่ในลิ้นชักโต๊ะที่ลู่ฉาวอวี่ใช้ทำงาน
“เจ้าเด็กคนนี้…” ลู่อี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก เด็กน้อยในตอนนั้นสามารถค้ำยันท้องฟ้าได้ด้วยตนเองแล้ว”