สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1226 ตอนพิเศษ (89.1)
บทที่ 1226 ตอนพิเศษ (89.1)
หลายวันต่อมา งานแต่งงานที่คึกคักระหว่างสกุลซ่งและสกุลลู่ก็เริ่มต้นขึ้น
ชาวบ้านต่างก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้
เมื่อสินสอดทองหมั้นหนึ่งร้อยยี่สิบกล่องส่งมายังสกุลลู่ ผู้คนต่างตกตะลึง
“สกุลลู่ร่ำรวย เรื่องนี้พวกเรารู้ดี แต่สกุลซ่งรวยเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ใต้เท้าผู้เฒ่าซ่งเป็นขุนนางซื่อสัตย์ หากไม่ใช่เพราะฮูหยินซ่งมีสินเดิมมากมายและมีวิธีหาเงินดี ๆ ขุนนางซื่อสัตย์อย่างใต้เท้าผู้เฒ่าซ่งคงอดตายไปนานแล้ว เพียงแต่ แม้ฮูหยินซ่งจะมีช่องทางในการทำการค้าก็คงไม่มีทรัพย์สินมากมายเพียงนั้น พวกเจ้าดูกล่องสินสอดหนึ่งร้อยยี่สิบกล่องนั่นซีล้วนแต่ใช้ไม้อย่างดีที่สุดมาทำกล่อง อีกทั้งกล่องยังมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของกล่องสินสอดทั่วไป ถึงแม้จะกล่าวว่ามีหนึ่งร้อยยี่สิบกล่อง ทว่าอันที่จริงเทียบเท่ากับสองร้อยสี่สิบกล่องของครอบครัวคนทั่วไป พวกเจ้าดูสินสอดสองที่วางไว้ข้างนอกนั่นซี อย่างน้อยของข้างบนนั้นก็ล้วนแต่เป็นของดี แม้ก้นกล่องว่างเปล่าก็ยังไม่อาจประเมินค่าได้”
“ทุกท่านลืมไปแล้วหรือว่าใต้เท้าซ่งน้อยผู้นั้นเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพ? ว่ากันว่าตอนนี้คนทั้งยุทธภพล้วนต้องเงยหน้ามองเขา กิจการของเขาที่อยู่ภายนอกก็มีมากมาย มีคนจากทุกสาขาวิชาชีพ ไม่เพียงเท่านั้น คนในโลกยุทธภพยังเชื่อมั่นในตัวเขาอีกด้วย ความรักลึกซึ้งของใต้เท้าซ่งน้อยที่มีต่อคุณหนูรองลู่พวกเราต่างก็เห็นมานานปี สินสอดมากมายเพียงนี้เกรงว่าเขาจะตระเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มวางแผนจะแต่งงานกับคุณหนูรองลู่แล้ว”
“ข้าเป็นบุรุษผู้หนึ่งยังอิจฉาคุณหนูรองลู่ ใต้เท้าซ่งน้อยรักลึกซึ้ง หากคุณหนูรองลู่ปฏิบัติต่อเขาไม่ดี ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอม”
“เจ้าคิดอะไร? เจ้าจะกล้าทำอะไร? เจ้าจะทำอย่างไรได้?”
คำถามสามประโยคถูกถามออกมารัว ๆ อีกฝ่ายจึงไม่มีอะไรจะกล่าว
คนอื่น ๆ ต่างก็ถอนหายใจ
คนของสกุลลู่ก็ยังกล้าล่วงเกินงั้นหรือ? แม้จะให้พวกเขายืมสักสิบหัวก็ไม่กล้าทำสิ่งใด
“พวกท่านไม่คิดว่าสินสอดเช่นนี้จะไม่โอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ?” บัณฑิตที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ถึงแม้ฝ่าบาทจะอภิเษกสมรสฮองเฮาก็คงไม่มีพิธีแต่งงานที่เอิกเกริกเพียงนี้กระมัง?”
“คุณหนูใหญ่ลู่มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง คุณหนูรองลู่แม้ไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่เรื่องของนางในวันนี้ฮ่องเต้ย่อมไม่มากังวล นับประสาอะไรกับสินสอดหนึ่งร้อยยี่สิบกล่อง ถึงแม้จะเป็นสินสอดสองร้อยสี่สิบกล่อง ฝ่าบาทก็ไม่มีทางตำหนิ สกุลซ่งร่ำรวย สกุลลู่ร่ำรวย ไม่ต้องใช้เงินจากท้องพระคลัง เช่นนั้นมีอะไรให้ต้องสนใจกัน?”
“นี่โอ้อวดเกินไปแล้ว ความงามของป่าย่อมถูกทำลายเพราะสายลม หากสกุลลู่ยังโอ้อวดเช่นนี้ วันใดวันหนึ่งหากราชวงศ์เกิดเกลียดชังขึ้นมา ทุกอย่างในวันนี้ย่อมเป็นความผิดมหันต์”
“เจ้ามาจากที่ใด? เจ้าเป็นหน่วยสอดแนมที่อาณาจักรอื่นส่งมาใช่หรือไม่ เจ้าจงใจมาหว่านความไม่ลงรอยระหว่างราชวงศ์กับสกุลลู่กระมัง?”
ดวงตาแต่ละคู่มองไปทางบัณฑิตที่พูดจาไม่น่าฟังผู้นั้นอย่างไม่ปรานี
บัณฑิตผู้นั้นมาจากต่างถิ่น ความประทับใจของเขาที่มีต่อสกุลลู่อยู่เพียงในเรื่องราวที่นักเล่านิทานบอกกล่าวเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นอำนาจของสกุลลู่ด้วยสายตาตนเอง ไม่คาดหวังว่าชาวบ้านในเมืองหลวงจะเคารพสกุลลู่เช่นนี้ แม้กระทั่งคำพูดเพียงสองสามคำก็กลายเป็นความผิดมหันต์ได้จึงหุบปากในทันที
เมื่อส่งสินสอดมาแล้วก็ถึงคราวของสินเดิม
สินสอดและสินเดิมเป็นหัวข้อที่ราษฎรกังวลเป็นอย่างมาก
มีเพียงยามนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะได้รู้ว่าชีวิตของคนรวยเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่สกุลลู่จัดงานแต่งงานล้วนใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงการโปรยเงินโปรยทอง ถึงแม้จะเป็นการโปรยเหรียญทองแดงก็เป็นสิ่งที่ต้องมี ว่ากันว่าครั้งที่ลู่ฉาวอวี่แต่งงาน มีคนเฝ้าอยู่บนถนนสายนั้นเพียงสายเดียวและรอเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งมาเยือน ผลคือเขาได้รับค่าแรงทั้งปีในคราวเดียว หลังจากชำระหนี้หมดแล้วยังมีเงินเหลือเฟือที่จะซื้ออาหารให้ครอบครัวได้ถึงหนึ่งปี
แถมนี่ยังไม่ใช่เพียงกรณีเดียว
“สกุลซ่งอยู่ตรงข้ามกับสกุลลู่ การรับตัวเจ้าสาวนี้ช่างไร้กังวลจริง ๆ”
“เจ้าพูดผิดแล้ว” ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ลูกชายข้าทำงานเป็นคนงานประจำในสกุลลู่ ได้ยินว่าท่านเขยจะไปรับคุณหนูรองลู่แล้วเดินไปรอบ ๆ เมืองเที่ยวหนึ่ง อีกทั้งยังจัดเตรียมใบไม้เงินใบไม้ทองเอาไว้ด้วย”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?!” คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาตกใจ
“พวกเจ้าได้ยินไม่ผิด คราวนี้สกุลซ่งไม่ได้โปรยเหรียญทองแดง หากแต่เป็นใบไม้เงินใบไม้ทอง” ชายชราผู้นั้นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ข้าขอบอกพวกเจ้าอีกเรื่อง สกุลลู่จะจัดโต๊ะไว้ที่หน้าประตู ขอเพียงกล่าวคำอวยพรโดยไม่ซ้ำกัน หนึ่งประโยคได้สิบอีแปะ หากเขียนบทกลอนได้และเขียนได้ดีเป็นพิเศษก็จะได้รับรางวัลมากมายเชียวละ”
“เช่นนั้นข้าต้องไปที่นั่นหน่อยแล้ว!”
“ข้าก็ต้องไปเช่นกัน!”
ฮ่องเต้น้อยฟ่านซวี่ยืนอยู่บนหอสูง มองผู้คนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาเต็มถนน เขาที่พึ่งตรวจทานฎีกาเสร็จรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เมื่อเห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้ จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา
“ในที่สุดซ่งหานจือก็สมปรารถนาแล้ว เราละอยากเห็นใบหน้าภาคภูมิใจของเขาเสียจริง”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยใต้เท้าซ่งน้อยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เราไม่เพียงแต่ใส่ใจเขาเท่านั้น แต่ยังใส่ใจชิงเอ๋อร์ด้วย” ฟ่านซวี่กล่าว “ในที่สุดหญิงป่าเถื่อนผู้นั้นก็กำลังจะแต่งงานและกลายเป็นภรรยาผู้หนึ่งแล้ว คนที่มีนิสัยเช่นนั้นจะเปลี่ยนเป็นมารดาที่ดีอย่างไร เรานึกไม่ออกจริง ๆ”
“เด็กผู้หญิง อย่างไรก็ต้องเติบใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าข้าง ๆ กล่าว “ช่วงนี้ฝ่าบาทเหนื่อยล้าแล้ว ไม่สู้ถือโอกาสนี้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ราษฎรทั่วหล้าได้รู้ถึงน้ำใจอันกว้างใหญ่ไพศาลและความสำคัญที่ฝ่าบาทมอบให้กับสกุลลู่และสกุลซ่ง”
ฟ่านซวี่ส่ายศีรษะพลางกล่าว “หากเราไป ทุกคนก็จะคอยแต่ปรนนิบัติเรา สกุลลู่สกุลซ่งยุ่งอยู่ สิ่งต่าง ๆ คงจะวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ใต้หล้าจะสงบสุขแต่ก็ยังมีกระแสน้ำในความมืดที่กำลังปั่นป่วน หากมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเราในงานแต่งระหว่างสกุลลู่กับสกุลซ่ง ใต้หล้าย่อมวุ่นวายอีกครั้ง ช่างเถิด เรายังคงอยู่ในวังจะดีกว่า”
“ฝ่าบาท พระชนมายุท่านต่างกับคุณหนูชิงเอ๋อร์ไม่มากแต่กลับครุ่นคิดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้”
“เราเป็นผู้ครองอาณาจักร หากยังคิดไม่รอบคอบ เช่นนั้นเราจะปกครองแผ่นดินอย่างไร?” ฟ่านซวี่กล่าว “จริงสิ ถือโอกาสนี้นำรูปของกุลสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นที่ฉาวอวี่เตรียมไว้มาให้เราดูเถอะ วังหลังของเราไม่อาจขาดคน เราควรมีองค์ชายสักคนแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเฒ่ามองฟ่านซวี่ด้วยสายตาโศกเศร้า
ไท่ซ่างหวงปัดก้นจากไปแล้ว มอบภาระของแผ่นดินไว้กับฮ่องเต้เยาว์วัย ไท่ซ่างหวงวางใจ ทว่าฮ่องเต้น้อยผู้น่าสงสารกลับถูกขังไว้ในวังแห่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่อาจไปที่ใดได้ เห็นได้ชัดว่าเขารุ่นราวคราวเดียวกับคุณชายน้อยสกุลลู่ แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับแสดงให้เห็นถึงความเคร่งขรึมอย่างผู้ใหญ่อยู่เสมอ
“ฝ่าบาท…” ขันทีเฒ่ายืนอยู่ข้างหลัง กราบทูลด้วยความเคารพว่า “ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล แทนที่จะหาสตรีที่ไม่พึงใจมาเป็นคู่ครองที่บาดหมางกัน ไม่สู้ละเลยภูมิหลังของนางแล้วเลือกสักคนที่มีความคิดเช่นเดียวกันมาเคียงคู่ท่านไปตลอดชีวิต”
“เจ้านี่นะ เทียบกับเสด็จพ่อข้าแล้วยังใส่ใจยิ่งกว่า”
“บ่าวยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวทำเกินกว่าเหตุแล้ว” ขันทีเฒ่าคุกเข่าลง
ฟ่านซวี่พยุงขันทีเฒ่าให้ลุกขึ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “เรารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง เราฟังเจ้า เราจะหาสตรีสักคนที่พึงใจ”
ซ่งหานจือเดินไปรอบเมืองหนึ่งเที่ยวแล้วมายังสกุลลู่เพื่อรับตัวเจ้าสาว
ผู้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสกุลลู่เป็นสองพี่น้องลู่ฉาวอวี่กับลู่ฉาวจิ่ง
ด่านแรกเป็นบทกวี หากบทกวีไม่ถูกใจลู่ฉาวอวี่กับลู่ฉาวจิ่ง ซ่งหานจือก็เข้าประตูไปไม่ได้