สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1227 ตอนพิเศษ (89.2)
บทที่ 1227 ตอนพิเศษ (89.2)
ส่วนนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่บัณฑิต เพราะลู่ฉาวอวี่ก็ดี ซ่งหานจือก็ช่าง ทั้งสองคนล้วนได้รับความชื่นชมจากบัณฑิตทั่วหล้า
บทกวีของทั้งสองถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง หากกล่าวถึงอัจฉริยะผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยามนี้ แม้กระทั่งเด็กสามขวบยังรู้จักชื่อของพวกเขา
“บทกวีที่คุณชายซ่งเขียนช่างน่าทึ่งจริง ๆ”
“หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าจะตามไม่ทันบทกวีของใต้เท้าลู่น้อย”
ซ่งหานจือตอบคำถามของลู่ฉาวอวี่ ทั้งยังกล่าวทักทายด้วยความเคารพ “ข้าขอแสดงความเคารพพี่ภรรยา”
ลู่ฉาวอวี่กล่าว “สกุลลู่อยู่ฝั่งตรงข้าม หากสหายซ่งปฏิบัติต่อน้องหญิงรองบ้านข้าไม่ดี คงรู้ผลที่ตามมา?”
“พี่ภรรยาโปรดวางใจ ข้าน้อยไม่มีทางทำผิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน” ซ่งหานจือกล่าว
ลู่ฉาวอวี่โบกมือ ส่งสัญญาณให้คนของเขาปล่อยน้องเขยเข้าไป
ซ่งหานจือรีบกล่าวขอบคุณ
เมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้วก็ยังต้องผ่านด่านของลู่อี้
ข้างในมีค่ายกลกระบี่ ทันทีที่ซ่งหานจือเข้าไป ค่ายกลกระบี่นั้นก็ทำงานทันที
ลู่ฉาวจิ่งโยนกระบี่ในมือให้ซ่งหานจือ
ซ่งหานจือรับไว้ แล้วบอกกับลู่ฉาวจิ่ง “ขอบคุณน้องภรรยา”
เขาแกว่งไกวกระบี่ในมือ ทำลายค่ายกระบี่นั้นภายในชั่วพริบตา
ประตูใหญ่ของสกุลลู่เปิดอยู่ ชาวบ้านมองตามร่างเขาแล้วค่อย ๆ ปรบมือทีละคน
“คุณชายสกุลซ่งเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ สกุลลู่ช่างเลือกลูกเขยได้ดีจริง ๆ!”
“ไม่เพียงแต่เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ หน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย สกุลลู่เลือกลูกเขยที่หน้าตาหรือไร? อดีตซื่อจื่ออู่อันโหวหรือก็คือฮ่องเต้อาณาจักรเฟิ่งหลินคนปัจจุบันก็เป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อเสียงโด่งดัง”
“เช่นนั้นไยไม่กล่าวว่าคุณหนูใหญ่สกุลลู่ยังเป็นสตรีที่งดงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วยเล่า?”
เซี่ยเฉิงจิ่นลูบผมลู่จืออวิ๋น “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ผู้ใดก็ล้วนรักสวยรักงาม กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด เช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าสกุลลู่เราสายตาเฉียบคม”
ซ่งหานจือฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพล ท้ายที่สุดก็พาลู่จื่อชิงออกมาได้
ลู่ฉาวอวี่แบกลู่จื่อชิงไว้บนหลังส่งนางออกเรือน
เมื่อเขาปล่อยลู่จื่อชิงลงบนเกี้ยว ลู่จื่อชิงก็ดึงชายเสื้อของลู่ฉาวอวี่ไว้แล้วกล่าว “พี่ใหญ่ ประเดี๋ยวโปรยเงินให้มากหน่อย ให้ชาวบ้านได้สุขเกษมเปรมปรีดิ์ไปพร้อมกับข้า”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
ในที่สุดสาวน้อยสุรุ่ยสุร่ายผู้นี้ก็จะออกเรือนแล้ว
ภายหน้าเงินที่เสียไปก็จะเป็นของสกุลซ่ง นับว่าไม่เลวจริง ๆ
“วางใจเถิด วันนี้ท่านแม่จะเผื่อแผ่ความมั่งคั่งอีกแล้ว” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “มีคนจากทั่วทุกสารทิศมาแสดงความยินดีกับเจ้า”
สำหรับชาวบ้านทั่วไป สกุลลู่มีเรื่องมงคล นั่นก็คือพวกเขามีเรื่องมงคลด้วย
ถนนทั้งสายปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินสีทอง
บางคนถอนหายใจ บางคนประหลาดใจ บางคนอิจฉา ทว่าคนส่วนใหญ่กลับรู้สึกตื่นเต้น
วันนี้จักต้องเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในรอบหลายปี
หน้าประตูสกุลลู่มีการจัดโต๊ะตั้งไว้ ดังคาดผู้มีพรสวรรค์ต่างมาเขียนบทกลอนอวยพร แต่ละบทจะได้รับการจัดลำดับมอบรางวัลให้หนึ่งตำลึงถึงห้าตำลึง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเขียนบทกลอนของแต่ละคน
ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้หนังสือก็ต้องท่องปากเปล่า ชาวบ้านหลายคนมีวาทศิลป์ คำอวยพรหนึ่งประโยคจะได้รับสิบเหรียญเงิน มีชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวคำอวยพรอยู่ครึ่งชั่วยาม ได้รับถึงยี่สิบตำลึงเงิน คนรอบข้างต่างตกตะลึง
เพื่อไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน สกุลลู่จึงเพิ่มโต๊ะขึ้นอีกหลายโต๊ะ จัดบ่าวรับใช้หลายคนให้เพียงพอต่อชาวบ้านที่มาร่วมยินดี
“สกุลลู่นี่มีเงินแต่ไม่มีที่จะใช้จ่ายใช่หรือไม่?” มีบางคนไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดว่าสกุลลู่โง่จริง ๆ หรือ?” ชาวบ้านข้าง ๆ เอ่ย “พวกเขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อดูแลชีวิตของราษฎร ตอนนี้ชีวิตผู้คนดีขึ้นกว่าก่อนมาก แต่ก็ยังมีหลาย ๆ คนที่มีความยากลำบากของตนเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลลู่ตั้งใจใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือผู้คนมากมายให้รอดพ้นจากความตาย ไม่ใช่สกุลลู่ไม่มีที่จะใช้เงิน”
“ประการแรกก็เพื่อช่วยคนทุกข์ยาก ประการที่สองก็เผื่อแผ่ความเป็นสิริมงคล ให้ทุกคนได้มีความสุข”
ซ่งหานจือพาขบวนรับตัวเจ้าสาวเดินไปรอบ ๆ เมือง
ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงแสดงความยินดีและคำอวยพร
เมื่อถึงฤกษ์มงคล ซ่งหานจือจึงนำขบวนรับตัวเจ้าสาวกลับมายังสกุลซ่ง
เขายิงธนูไปที่ประตูเกี้ยว แล้วแบกลู่จื่อชิงออกมา
“ใต้เท้าซ่ง เจ้าสาวต้องจูงมือ ไม่ใช่อุ้ม”
ซ่งหานจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าหวังว่าทุกย่างก้าวในอนาคตข้าจะเป็นคนแบกนางไป ไม่ให้นางต้องลำบาก”
ลู่จื่อชิงเดินลงมาจากเกี้ยว จับมือเขาไว้แล้วเอ่ย “แต่ข้าหวังว่าทุกย่างก้าวข้าจะเดินไปพร้อมกับท่าน ไม่ใช่กลายเป็นภาระให้ท่านต้องลำบากยิ่งขึ้น”
“ได้ เช่นนั้นก็ก้าวไปพร้อมกัน” ซ่งหานจือจับจูงมือลู่จื่อชิง พาเดินเข้าไปในประตูจวนซ่ง
ประตูจวนซ่งเปิดออก ผู้คนจึงเห็นจวนซ่งที่ตกแต่งอย่างประณีต
ข้างในเป็นทะเลดอกไม้แห่งหนึ่ง
แขกพิเศษข้างในต่างก็จดจ้องซ่งหานจือที่พาเจ้าสาวเข้าไปราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
งานแต่งงานวันนี้ไม่เพียงมีคนสำคัญจากเมืองหลวงเท่านั้นที่เข้าร่วม แต่ยังมีสหายมากมายจากยุทธภพเข้าร่วมด้วย
หลังเสร็จสิ้นพิธี ลู่จื่อชิงไม่ได้กลับไปรอที่ห้องหอเหมือนอย่างเจ้าสาวทั่วไป หากแต่ตามซ่งหานจือออกไปรับรองแขก
“พระชายาลู่ ลูกสาวของท่านช่างมีเอกลักษณ์จริง ๆ” สตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เจ้าสาวสกุลใดออกมาดื่มสุรากับผู้อื่นเหมือนอย่างนางกัน?”
“หากลูกสาวผู้นี้ของข้าเหมือนกับคุณหนูสูงศักดิ์คนอื่น ๆ ก็คงไม่ทำให้ลูกเขยข้าหลงรักนางเช่นนี้ ลูกเขยข้าชมชอบความพิเศษในตัวนาง ไม่ใช่ความน่าเบื่ออย่างคุณหนูสูงศักดิ์สกุลอื่นที่คล้ายคลึงกันไปเสียหมด”
เมื่อมู่ซืออวี่คิดจะตำหนิคน ย่อมไม่มีคนกล้าตอบโต้
หญิงสูงศักดิ์ผู้นั้นกล้ากล่าวเช่นนี้ก็แปลว่าได้ใช้ความกล้าของตนไปจดหมดสิ้นแล้ว
“ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” ซูจือหลิ่วที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ทันทีที่นังหนูชิงเออร์เอ๋อเดินออกมา คนในยุทธภพเหล่านั้นต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะมอมเหล้าหานจือ”
“นังหนูชิงเอ๋อร์ผู้นี้ช่างดูอิสระไร้กังวลเสียจริง อันที่จริงนางใส่ใจอย่างยิ่ง นางเห็นคนรู้จักในยุทธภพมากมาย รู้ดีว่าคนเหล่านี้ย่อมไม่ยอมปล่อยซ่งหานจือไป คิดจะกรอกสุราให้เขาเมา เมื่อชิงเอ๋อร์ลงมือ คนจากยุทธภพเหล่านั้นรู้ว่าทำให้เจ้าสาวเมาไม่ได้ สุราส่วนใหญ่จึงเป็นหมันแล้ว”
“ช่างเห็นใจสามีตนจริง ๆ”
“นังหนูคนนั้นยังไม่ทันได้แต่งงานก็เริ่มหันไปหาคนนอกแล้ว หลายปีมานี้ไม่รู้นำของดี ๆ จากที่บ้านมากน้อยเพียงใดส่งไปให้ซ่งหานจือ นางคิดว่าข้าไม่รู้ แต่ข้าน่ะรู้ทุกอย่าง”
“โชคดีที่ซ่งหานจือผู้นี้เชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่ยอมให้นางทำอย่างที่นางต้องการ”
“ข้อดีที่สุดของนังหนูคนนี้คือนางสายตาแหลมคม” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เหมือนข้าเล็กน้อย”
ซูจือหลิ่วระเบิดหัวเราะออกมา
นางมองดูลูก ๆ ของตน
เวลาไม่ปรานีคนจริง ๆ!
ตอนนั้นนางกับมู่ซืออวี่ยังเป็นเพียงแม่นางน้อย ต่อมาก็กลายเป็นน้องสะใภ้พี่สามีโดยบังเอิญ บัดนี้ผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ลูก ๆ ทั้งสองต่างเติบใหญ่ จากแม่นางน้อยผู้หนึ่งกลับกลายมาเป็นหญิงชรา ภายในพริบตาก็ผ่านมาครึ่งชีวิต นั่นทำให้นางรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน
“พรุ่งนี้พวกเราไปจุดธูปขอพรกันเถิด!” ซูจือหลิ่วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ไม่รู้เพราะเหตุใด นับวันยิ่งชอบไปจุดธูปขอพรให้ใจสงบที่วัดมากขึ้นทุกที”
“ได้” มู่ซืออวี่คว้ามือซูจือหลิ่วไปกุม “เด็ก ๆ ต่างก็มีโลกเป็นของตน พวกเราก็สามารถปลดเปลื้องภาระบนบ่าได้แล้ว”