สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1233 ตอนพิเศษ (92.2)
บทที่ 1233 ตอนพิเศษ (92.2)
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ซ่งหานจือเอ่ยถาม
“เจ็บ” ลู่จื่อชิงขมวดคิ้วน้อย ๆ “คลอดลูกเจ็บจริง ๆ หลังคลอดก็เจ็บ จริงสิ ลูกชายหรือลูกสาว?”
ซ่งหานจือกล่าวเสียงเรียบ “ลูกชาย”
“ลูกชายหรือ…” ลู่จื่อชิงกล่าว “หน้าตาเหมือนท่านหรือเหมือนข้า?”
ซ่งหานจือ “…”
ทารกแรกเกิดหน้าเป็นเช่นไรจะบอกได้อย่างไร?
เอาเถอะ อันที่จริงเขาก็ยังไม่เห็น
ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงบัดนี้ เขายังไม่ได้ดูลูกผู้นั้นชัด ๆ ทันทีที่รู้ว่าเป็นลูกชาย เขาก็มอบให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ดูแล ส่วนเขารอให้นางตื่นขึ้นมาอยู่ที่นี่ อยากรู้ว่านางรู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่
“หน้าเหมือนเจ้า” อาจจะกระมัง!
“ลูกเล่า อุ้มมาให้ข้าดูสิ”
หมอตำแยอุ้มทารกเดินเข้ามา
“ฮูหยินฟื้นแล้ว! ดียิ่งนัก เด็กหิวมากแล้ว” หมอตำแยกล่าว “เริ่มแรกอาจมีน้ำนมน้อย เพียงแค่บีบนวดก็จะมีมากขึ้นแล้ว ฝนตกหนักเพียงนี้พวกท่านไม่อาจออกเดินทางได้ พอดีจะได้พักฟื้น ข้าจะปรับสภาพร่างกายให้ท่าน ท่านจะได้มีน้ำนมเพียงพอที่จะให้ลูกกิน”
“เจ้าคิดว่าคนที่มีสถานะอย่างฮูหยินต้องให้น้ำนมลูกด้วยตนเองหรือ?” ผู้ดูแลข้าง ๆ เอ่ยถาม “ละแวกนี้มีแม่นมที่ไม่เลวแนะนำสักคนหรือไม่?”
“ไม่ต้อง” ลู่จื่อชิงกล่าว “ข้าจะให้นมเขาเอง”
“ชิงเอ๋อร์ เลี้ยงลูกด้วยตนเองลำบากยิ่งนัก เจ้าจะไม่อาจแม้กระทั่งพักผ่อนให้เพียงพอ” ซ่งหานจือไม่อยากให้ลู่จื่อชิงลำบากเพียงนั้น
ลู่จื่อชิงกล่าว “แม่ข้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้ ท่านแม่บอกว่า ไม่ว่านมผู้อื่นจะดีเพียงใดก็ไม่ดีเท่าน้ำนมของแม่แท้ ๆ มีเพียงน้ำนมแม่เท่านั้นถึงจะมีสารอาหารที่เหมาะกับลูกที่สุด”
“ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าลำบาก”
ลู่จื่อชิงคลอดที่หมู่บ้าน ด้วยสภาพร่างกายของนางย่อมไม่อาจย้ายไปอยู่เดือนที่อื่น ทว่าทิวทัศน์ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ดีไม่น้อย ลู่จื่อชิงจึงตัดสินใจรั้งอยู่ที่นี่ตลอดการอยู่เดือน ส่วนงานของซ่งหานจือ หากไม่ใช้ศาลาพักม้าส่งหนังสือสำคัญ เขาก็จะพาคนของเขาไปจัดการที่อำเภอด้วยตนเอง สรุปคือ คนในหมู่บ้านรู้ว่าครอบครัวที่มาเป็นเศรษฐี แต่กลับไม่รู้ว่านายท่านผู้นั้นเป็นขุนนางสูงสุดของที่นี่
“ฮูหยินซ่ง บ้านท่านมีแขก” เสียงชาวบ้านดังมาจากข้างนอก
ลู่จื่อชิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก
“ท่านอาจารย์…” นางถึงได้พบกับคนคุ้นเคย
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉีเซียว
ฉีเซียวควบม้ามา แต่งกายด้วยชุดที่สง่างามและหรูหรา ราวกับสุภาพบุรุษชั้นสูงที่ก้าวออกมาจากภาพวาด
ถึงแม้ว่าสุภาพบุรุษชั้นสูงผู้นี้จะอายุไม่น้อยแล้ว ทว่ารูปโฉมที่หล่อเหลาของเขายังคงทำให้สตรีรอบ ๆ แอบตามมา ดูจากท่าทีพวกนางที่พูดคุยถกกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าน้อยนักที่จะได้พบเจอกับชายรูปงามเช่นนี้
ฉีเซียวลงจากหลังม้า ยื่นสายบังเหียนให้กับคนข้าง ๆ
“เจ้าเด็กคนนี้ อยู่เมืองหลวงไม่สบายหรือ? ไยต้องถ่อมาคลอดบุตรในป่าในดง”
“ท่านอาจารย์ ข้ายังอยู่ในช่วงอยู่เดือน ไม่ออกไปพูดคุยกับท่านแล้ว พวกเราคุยกันผ่านหน้าต่างจะดีกว่า” ลู่จื่อชิงยกยิ้มจาง ๆ
“เจ้ากังวลว่าจะถูกข้าจัดการกระมัง?”
“จักเป็นไปได้อย่างไร? ท่านอาจารย์ก็เห็นว่าข้าเพิ่งคลอดลูก ร่างกายยังอ่อนแอมาก ท่านไม่มีทางทำเช่นนั้นกับข้าอย่างแน่นอน” ลู่จื่อชิงกล่าว “เพียงแต่ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้? ท่านบังเอิญผ่านมาหรือ?”
“ไม่ได้บังเอิญอะไร” ฉีเซียวกล่าว “ซ่งหานจือให้คนส่งจดหมายไปให้พ่อแม่เจ้า พ่อแม่เจ้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ พอดีข้าไม่มีเรื่องอะไรจึงมาดูเสียหน่อย”
“เช่นนั้น พ่อแม่ข้าเล่า?”
“พวกเขาหมู่นี้งานรัดตัว ปลีกตัวออกมาไม่ได้” ฉีเซียวกล่าว “บังเอิญข้ากำลังว่างจึงมาดูว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หลานตัวน้อยของข้าเล่า?”
ฉีเซียวเพิ่งได้พบกับเด็กน้อยที่เพิ่งเกิดก็คล้องสร้อยกุญแจอายุยืนให้เขา
อัญมณีบนสร้อยกุญแจนั้นสีสันงดงาม มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
“ทั้งชีวิตนี้ของข้าไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่เคยนำหน้าบิดาเจ้า คราวนี้ข้าแซงหน้าเขาเรื่องมอบสร้อยกุญแจให้ลูกเจ้าทำให้เขากระอักเลือดแล้ว!” ฉีเซียวหยิกแก้มเจ้าอ้วนน้อย “เจ้าเด็กคนนี้เหมือนเจ้าตอนยังเด็กยิ่งนัก ทั้งยังมีความไร้เดียงสาเหมือนซ่งหานจือตอนเด็ก ๆ เล็กน้อย เขาจะต้องเติบโตขึ้นมาอย่างดีแน่นอน”
“ท่านอาจารย์ ตอนข้ายังเด็กน่ารักกว่าเขาเสียอีก” ลู่จื่อชิงกล่าว “จริงสิท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านมาแล้ว ท่านพาลู่อวี่เล่อไปด้วยเถิด ท่านพ่อท่านแม่ข้ายังไม่เคยพบเขา ท่านพาเขาไปหาท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียหน่อย”
“ลู่อวี่เล่อ ลูกชายพี่ใหญ่เจ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว!” ลู่จื่อชิงกล่าว “เจ้าเด็กคนนั้นซุกซนมาก เขาแอบขึ้นรถม้าพวกข้าตามออกมาจากเมืองหลวง”
“ตอนเจ้าเด็กก็ไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้น้อยไปกว่ากัน” สิ้นคำ ฉีเซียวก็หันไปมองรอบ ๆ “เขาอยู่ที่ใด?”
ยามนี้เอง ศีรษะเล็ก ๆ ก็โผล่ขึ้นมาตรงขอบหน้าต่าง มองฉีเซียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น
ดวงตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นกวาดมองฉีเซียวขึ้น ๆ ลง ๆ ราวกับกำลังประเมินสถานะของเขา ตรวจดูว่าตนจะได้สิ่งใดจากคนผู้นี้
ฉีเซียวเห็นลู่อวี่เล่อแล้วราวกับเห็นลู่จื่อชิงตอนยังเล็ก
เขากวักมือเรียกลู่อวี่เล่อ “มานี่สิ”
ลู่วี่เล่อกล่าว “อาหญิงรองของข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ เช่นนั้นข้าควรเรียกท่านว่าอาจารย์ปู่ใช่หรือไม่?”
ฉีเซียว “…”
เขากลายเป็นคนรุ่น ‘ปู่’ โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
“ท่านอาจารย์ปู่ ท่านจะพาข้าไปพบท่านปู่กับท่านย่าหรือ?” ลู่อวี่เล่อเอ่ย “เช่นนั้น ท่านพาซ่งเปาจือไปด้วยได้หรือไม่?”
“เปาจือ?” ลู่จื่อชิงและฉีเซียวเอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กัน
แน่นอนว่าลู่จื่อชิงแม่แท้ ๆ ผู้นี้ไม่รู้ว่าลูกชายของตนมีชื่อเรียกอย่าง ‘เปาจือ’ ด้วย
“ท่านดูเขาสิ หน้าเล็ก ๆ กลม ๆ เหมือนซาลาเปามากเลย ทั้งยังชอบร้องไห้โยเยไม่รู้จบ ข้าคิดว่าเขาเป็นเด็กขี้แย” ลู่อวี่เล่อกล่าว “ซ่งเป่าจือชอบร้องไห้ อาหญิงรองของข้าอารมณ์ไม่ดี หากซ่งเปาจืออยู่กับนาง อาหญิงรองจะต้องรังแกเขาเป็นแน่ ข้าไม่เหมือนกัน ข้าดูแลเขาได้ ข้าสามขวบแล้ว ดูแลเด็กอายุไม่กี่วันคนหนึ่งจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”
“สามขวบหรือ เจ้าโตมากทีเดียว” ฉีเซียวเลิกคิ้ว “แต่ซ่งเปาจือมีพ่อแม่เขาดูแล ข้าไม่อาจพาเขาไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ลู่จื่อชิงส่งลู่อวี่เล่อให้ฉีเซียวและนัดหมายว่าจะไปหาพวกเขาหลังจากออกจากอยู่เดือน อีกยี่สิบกว่าวันนางจึงจะอยู่เดือนครบ นับ ๆ ดูแล้วเวลาก็ไม่นาน
ยี่สิบวันต่อมา ลู่จื่อชิงอยู่เดือนครบกำหนดแล้ว ซ่งหานจือจึงพานางกับลูกไปหาลู่อี้กับมู่ซืออวี่ เมื่อถามถึงลู่อวี่เล่อ พวกลู่อี้กลับบอกนางว่ายังไม่เคยพบเขา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าทำให้ข้ากลัว” ลู่จื่อชิงกล่าว “ตอนที่อาจารย์ข้ามาหาข้า ข้าให้เขาพาเสี่ยวเล่อเอ๋อร์มาให้พวกท่านดูแล นับตั้งแต่เขาจากมาก็ผ่านมายี่สิบกว่าวันแล้ว พวกท่านไม่เห็นเล่อเอ๋อร์ เช่นนั้นเสี่ยวเล่อเอ๋อร์ไปอยู่ที่ใดเล่า?”