สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 129 การมาเยือนของเจิ้งซูอวี้
บทที่ 129 การมาเยือนของเจิ้งซูอวี้
บทที่ 129 การมาเยือนของเจิ้งซูอวี้
หลังจากย้ายข้าวของเสร็จแล้ว นายช่างเหลียงก็เริ่มวัดพื้นที่ที่จะสร้างบ้าน
นายช่างเหลียงมีเรื่องไม่เข้าใจก็ถามมู่ซืออวี่ หลังจากปรึกษาหารือกันแล้วก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
มู่ซืออวี่ช่วยเรื่องที่เหลือไม่ได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของพวกเขา นางจึงกลับไปช่วยมารดาทำงาน
สิ่งที่เจิ้งซูอวี้ขอ นางต้องทำให้ออกมาดี นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง
กิจการหมูตุ๋นในหมู่บ้านก็เริ่มดำเนินการแล้วเช่นกัน ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในงานนี้ นางหาหญิงออกเรือนแล้วในหมู่บ้านมาช่วยงาน ส่วนพวกบุรุษ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการขาย
“ท่านอา” เฉินซ่งเคาะประตู
ถงซื่อเปิดประตูออกมา “เจ้ามาได้อย่างไร? วันนี้ยังไม่ถึงวันรับสินค้านี่”
“ฮ่าฮ่า สวัสดีขอรับท่านอา” เฉินซ่งหัวเราะแห้ง ๆ “คุณหนูรองของพวกเรามีเรื่องจะคุยกับฮูหยินลู่น่ะ”
ระหว่างที่คุยกัน หญิงสาวตระกูลผู้ดีหน้าตาสวยงามอ่อนโยนผู้หนึ่งก็ลงมาจากรถม้า ข้างกายมีสาวใช้หน้าตาหมดจดไร้เดียงสาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือชิวซวงนั่นเอง
ถงซื่อเจอคนให้กลิ่นอายสูงศักดิ์เช่นนี้ ก็ถึงกับละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ท่านอา นี่คือคุณหนูรองเจิ้ง เป็นสหายกับฮูหยินลู่ มาคุยเรื่องงานกับฮูหยินลู่โดยเฉพาะ”
“คุณหนูรอง…” ถงซื่อเชื้อเชิญอีกฝ่าย “เข้ามานั่งเถิด บ้านอาจจะรกเล็กน้อย ข้าทำให้คุณหนูต้องขบขันแล้ว ข้าจะไปชงชามาให้”
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ” เจิ้งซูอวี้ตามถงซื่อเข้ามาพลางเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ท่านพี่ซืออวี่จะกลับมาเมื่อใดหรือ?”
มู่ซืออวี่เดินเข้ามาด้านในพอดี ด้านหลังของนางมีชายหนุ่มจากในหมู่บ้านสองสามคนตามมา พวกเขาแบกท่อนซุงมาด้วยอย่างทุลักทุเล
“วางไว้ตรงนี้แหละ ขอบคุณพวกท่านมากนะ” มู่ซืออวี่บอกพร้อมกับแบ่งเงินให้คนละ 2 ตำลึง
นางขึ้นไปเลือกต้นไม้บนภูเขา หลังจากโค่นแล้วจึงให้ชายหนุ่มเหล่านี้ช่วยนางแบกลงมาจากภูเขา นับว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากทีเดียว
ชายหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่เกรงใจเช่นกัน พวกเขารับเงินแล้วจากไปด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูซูอวี้ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” มู่ซืออวี่เพิ่งสังเกตเห็นเจิ้งซูอวี้และคนอื่น ๆ “ท่านแม่ ท่านตระเตรียมเก้าอี้เถอะ ข้าจะไปชงชา”
“ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายไป” เจิ้งซูอวี้พูดขึ้นมา
“จำเป็นสิ ท่านมาบ้านข้าเป็นครั้งแรก หากกระทั่งชาจอกเดียวยังไม่มี เช่นนั้นจะไม่เป็นการต้อนรับที่แย่หรอกหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยแล้วเดินเข้าไปข้างใน
เจิ้งซูอวี้มองไปรอบ ๆ ลานบ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ สายตาหยุดลงที่ใบหน้าเล็กน่ารักที่โผล่มาตรงหน้าต่าง
ลู่จื่ออวิ๋นขยิบตา ยิ้มกว้างให้เจิ้งซูอวี้เสียจนเห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ
เจิ้งซูอวี้ระเบิดหัวเราะออกมา
“เป็นเด็กน่ารักอะไรเช่นนี้ นี่เป็นคนในครอบครัวของฮูหยินลู่หรือ?”
ชิวซวงเอ่ยยิ้ม ๆ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินลู่มีลูกชายหนึ่งคนลูกสาวหนึ่งคน นี่คงเป็นลูกสาวของนาง”
“โตมาคงงดงามไม่น้อย” เจิ้งซูอวี้กวักมือให้ลู่จื่ออวิ๋น ส่งสัญญาณให้เด็กน้อยมาหา
ลู่จื่ออวิ๋นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดประตูหน้าต่างมองไปยังเจิ้งซูอวี้ “ท่านน้า ท่านเรียกข้าหรือ?”
“เหตุใดเจ้าไม่ออกมาข้างนอกเล่า?” เจิ้งซูอวี้ประหลาดใจ
“วันนี้ท่านแม่เก็บของ ถ้าข้าออกมาเดินข้างนอกจะรบกวนท่านแม่ทำงาน ข้าจึงอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านอา เขาเขียนหนังสือ ส่วนข้าอ่านหนังสือ”
ในตอนที่ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น เจิ้งซูอวี้ก็เห็นลู่เซวียนที่อยู่ตรงโต๊ะแล้ว
ลู่เซวียนมีรูปร่างบาง หากมองจากมุมมองสมัยใหม่เขาก็คือเทพบุตรประจำสำนัก กล่าวคือเป็นชายงามระดับต้นหญ้า*[1] ประจำสำนัก ตราบใดที่เขาไม่เผยด้านที่พูดจาเจ็บแสบออกมา ก็นับว่าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง
เจิ้งซูอวี้มองชายหนุ่มข้างหน้าอย่างสงสัย
ท่าทางจริงจังกับการเขียนเช่นนั้นน่ามองเป็นอย่างมาก
ลู่เซวียนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นเจิ้งซูอวี้ เขาก็พยักหน้าให้อย่างสุภาพแล้วก้มหัวลงเขียนหนังสือต่อไป
“นี่เป็นชาดอกไม้ที่บ้านข้าทำเอง ท่านลองชิมดู” มู่ซืออวี่วางจอกชาลงข้างหน้าเจิ้งซูอวี้ “นี่เป็นเนื้อตากแห้งที่ข้าทำ ท่านลองชิมดูสิว่าเป็นอย่างไร”
เจิ้งซูอวี้ลองชิมดูหนึ่งชิ้นแล้วเอ่ยชม “อร่อยมาก”
“ข้าผสมน้ำผึ้งลงไปนิดหน่อยจึงมีรสหวาน ลูกสาวข้าชอบกิน” มู่ซืออวี่หัวเราะน้อย ๆ
“ลูกสาวของท่านน่ารักจริง ๆ” เจิ้งซูอวี้ชมออกมาจากใจ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มู่ซืออวี่ยอมรับโดยไม่อิดออด
เจิ้งซูอวี้หัวเราะขึ้นมา “ท่านนี่น่าสนใจจริง ๆ แต่ข้าชอบที่ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้”
“ข้าก็ชอบที่ท่านเป็นคนเปิดเผยเช่นกัน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ” มู่ซืออวี่ยิ้มแย้มออกมา
“ถึงแม้เราจะเป็นสหายกัน แต่ขนาดพี่น้องแท้ ๆ ก็ยังต้องทำทุกสิ่งให้กระจ่าง เรื่องการค้าข้าย่อมไม่อ่อนข้อให้อย่างแน่นอน” เจิ้งซูอวี้หัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า “วันนี้มาหาท่านเพราะเรื่องแบบภาพน่ะ ข้าเลือกแล้ว อยากจะหารือกับท่านสักหน่อย”
“ได้เลย ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
เจิ้งซูอวี้นำกระดาษร่างแบบออกมา “ข้าชอบแบบนี้…”
ถงซื่อยืนอยู่ที่ประตู เห็นบุตรสาวทั้งคุยทั้งหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่กับคุณหนูตระกูลผู้ดีคนนั้น น้ำตาก็พลันเอ่อล้นดวงตา
บุตรสาวของนางโดดเด่นเช่นนี้ หากนางได้เกิดในตระกูลที่ดี ย่อมไม่แย่ไปกว่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้น
ราว ๆ หนึ่งก้านธูปต่อมา มู่ซืออวี่จึงรู้สึกตัวว่าพวกเขาพูดคุยกันมานานแล้ว ชิวซวงและเฉินซ่งกำลังช่วยถงซื่อทำงาน ทุกสิ่งในลานบ้านเกือบจัดเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ต้องขออภัยจริง ๆ ยังต้องให้แม่นางชิวซวงและพี่เฉินมาช่วยงานอีก” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “อยู่ทานอาหารกลางวันที่นี่เถอะนะ! ข้าจะทำอาหารให้พวกท่านลองชิม”
“วันนี้ไม่ได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก” เจิ้งซูอวี้เอ่ยขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น บ้านท่านยุ่งเช่นนี้ ข้าไม่อยากรบกวนท่าน แล้วเมื่อไหร่ท่านจะไปที่ร้านของข้าหรือ?”
“พรุ่งนี้แล้วกัน! เรื่องที่บ้านข้าทั้งหมดยกให้นายช่างเหลียงจัดการ ไม่มีอันใดให้ข้าต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องทางท่านก็ต้องรีบแล้วเช่นกัน ข้าจะจัดการเรื่องของท่านก่อน”
“ขอบคุณนะ” เจิ้งซูอวี้เอ่ยอย่างจริงใจ
“ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า การรับใช้ท่านเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” มู่ซืออวี่พูดพลางหัวเราะ
ลู่อี้กลับมาในตอนบ่าย เมื่อกลับมาจึงช่วยแบ่งงานให้เหล่าบุรุษที่กำลังทำงาน ไม่นานพวกเขาก็นับถือกันเป็นพี่น้อง สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก
ในตอนที่มู่ซืออวี่นำน้ำมาแจกจ่ายจึงเห็นลู่อี้กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับทุก ๆ คน ราวกับพบโลกใบใหม่
ที่แท้ชายผู้นี้ไม่ใช่ว่าคบค้าสมาคมไม่เก่ง เพียงแต่หากไม่อยากสนใจผู้ใดก็ไม่สนใจผู้นั้น เห็นวิธีผูกสัมพันธ์ของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเก่งกว่านางมากเพียงใด
“พี่สะใภ้ลู่ ท่านมาดูพี่ใหญ่ลู่ใช่หรือไม่?” เด็กหนุ่มไร้เสื้อหยอกเย้า
“ข้ามาดูบ้าน เขาจะมีอะไรน่ามองกัน?” ใบหน้าของของมู่ซืออวี่ร้อนผ่าว แสร้งทำเป็นรังเกียจ
“ยังบอกว่าไม่ได้มาดูพี่ใหญ่ลู่อีก เมื่อกี้ข้าเห็นหมดแล้ว ตาของท่านแทบจะติดหนึบอยู่บนตัวพี่ใหญ่ลู่”
“เจ้าเด็กนี่ ให้เจ้ามาช่วยงาน เจ้ากลับดีนัก ถึงกับแกล้งนายจ้างแล้ว” นายช่างเหลียงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ถึงตอนนั้นถ้านายจ้างไม่จ่ายเงินให้เจ้า ข้าจะดูว่าเจ้าจะไปร้องไห้ที่ใด”
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าก็จะอยู่บ้านพี่ใหญ่ลู่ ไม่ไปไหนแล้ว”
ทุกคนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ข้าจะวางน้ำไว้ตรงนี้” มู่ซืออวี่วางถังน้ำลงบนโต๊ะหินชั่วคราว ทั้งยังวางถ้วยสองสามใบลงด้วย “มีเรื่องอะไรก็ค่อยเรียกข้า”
ลู่อี้มองมู่ซืออวี่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะกลับไปก่อน อีกประเดี๋ยวจะกลับมา”
“โอ้ เพียงครู่เดียวก็ไม่อาจแยกจากกันเสียแล้ว!” เด็กหนุ่มร้องขึ้นอีกครั้ง “ท่านทั้งสองช่างรักใคร่กลมเกลียวกันเกินไปแล้ว”
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันแกล้งเล่นมาแต่ไกล เท้าของนางพลันสะดุดขึ้นมาจนเกือบจะล้มลงไป
ทว่ากลับมีแขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวนางจากข้างหลัง ก่อนจะช่วยพยุงตัวนางขึ้น
[1] ต้นหญ้าประจำสำนัก สมัยนี้ก็คือเดือนโรงเรียน หรือหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน