สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 130 ข้าไม่ได้ให้เสื้อผ้านาง
บทที่ 130 ข้าไม่ได้ให้เสื้อผ้านาง
บทที่ 130 ข้าไม่ได้ให้เสื้อผ้านาง
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
ลู่อี้ช่วยพยุงร่างกายนางขึ้นมา
มู่ซืออวี่รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งจากข้อมือของเขา ร่างกายของนางพลันร้อนรุ่ม จังหวะการเต้นของหัวใจก็ผิดปกติ
นางถอยหลังไปสองกล่าว ปกปิดความรู้สึกบนใบหน้าแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณ”
ลู่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องการแสดงออกของนาง
มู่ซืออวี่หันหลังกลับแล้วเดินจากไป นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หวังจะหลบหนีจากบุคคลนี้ให้เร็วที่สุด
ทว่าลู่อี้เดินตามมาอย่างเชื่องช้า
“เหตุใดจึงรีบเดินนัก?” ถงซื่อเอ่ยถามเมื่อเห็นนางเดินเข้ามา “มีผู้ใดตามเจ้ามาหรือ?”
“ไม่มี” มู่ซืออวี่เดินเข้ามาในห้อง “ของของข้าล่ะท่านแม่?”
นางเข้าไปในห้องก่อนจะขมวดคิ้ว พอออกมาอีกครั้งก็เอ่ยถาม “ของของข้าอยู่ที่ใด?”
“ของอะไรหรือ?” ถงซื่อรดน้ำผักพลางเอ่ยถาม
“สัมภาระของข้าอยู่ที่ใด?”
“สัมภาระเป็นของเจ้าหรือ? ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน บางทีพวกเขาอาจนำไปเก็บไว้ในห้องของเจ้าแล้วก็ได้”
“แล้วนี่ไม่ใช่ห้องของข้าหรืออย่างไร?”
ถงซื่อชำเลืองมองไปยังทิศทางที่มู่ซืออวี่ยืนอยู่พลางเอ่ยว่า “นี่คือห้องของข้ากับอวิ๋นเอ๋อร์ ห้องของเจ้าอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงเก็บฟืน ข้าทำความสะอาดห้องเก็บฟืน ย้ายของของพวกเจ้าจากหานเอ๋อร์ไปที่นั่นแล้ว ห้องนั้นใหญ่ เหมาะสำหรับเจ้าและพ่อฉาวอวี่ อีกอย่างเตียงก็ใหญ่พอดีกับห้อง น้องชายของสามีเจ้าต้องดูแลสุขภาพ ทำความสะอาดกับจัดเตรียมห้องสำหรับเขาด้วย”
“ผู้ใดบอกว่าข้าอยากอยู่กับเขา”
ยังไม่ทันพูดจบ นางก็เห็นลู่อี้เดินเข้ามา สีหน้าของเขาดูนิ่งมาก
นางกระแอมไอก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป “ท่านแม่ ข้าตกลงกับลู่อี้แล้ว ข้าจะอยู่กับอวิ๋นเอ๋อร์ ส่วนเขาจะอยู่กับน้องชาย”
ถงซื่อจ้องมองด้วยความสงสัย “ลูกเขย เจ้ากล่าวเช่นนั้นหรือ?”
ลู่อี้ชำเลืองมองมู่ซืออวี่ “ไม่ ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเลย ท่านแม่พูดถูกต้องแล้ว เราควรเก็บของไปห้องนั้น”
เขากล่าวพลางเข้าไปคว้าข้อมือของมู่ซืออวี่ จากนั้นจึงลากแขนนางเดินเข้าไปในห้อง
“เราตกลงกันอย่างชัดเจนแล้วนี่ว่า…”
“ข้าไม่เห็นด้วย!”
ลู่อี้ขัดจังหวะนางด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง
มู่ซืออวี่พลันเงียบไปในทันที
เขาดูน่ากลัวมาก เกิดอะไรขึ้น?
นางเม้มริมฝีปากแน่นพลางเดินถอยหลังอย่างระมัดระวัง
ลู่อี้ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจับนางไว้แน่น รั้งไว้ไม่ให้นางจากไป จากนั้นก็มองตรงมาอย่างเคร่งขรึม “เหตุใดเจ้าจึงต้องการแยกห้องนอน?”
มู่ซืออวี่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ต้องการแยกห้องนอน?”
“ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยา เหตุใดจึงต้องแยกห้องนอนกัน?” ลู่อี้รู้สึกสับสนราวกับว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ในชีวิต
“สามีภรรยาอย่างเราถือเป็นสามีภรรยาที่เกิดจากความรักด้วยหรือ?” มู่ซืออวี่พึมพำ
แต่ไม่ว่านางจะกล่าวอย่างแผ่วเบาเพียงใด เขาก็ยังคงได้ยิน
ลู่อี้มองนาง เขาเห็นริมฝีปากนั้นขยับน้อย ๆ ดุจกระต่าย
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคอแห้ง
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายพลางมองริมฝีปากนางต่อไป
มู่ซืออวี่ก้มหน้าลงแล้วสะบัดมือออกทันที
บรรยากาศในตอนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
มู่ซืออวี่รีบเก็บข้าวของทั้งหมด ทันใดนั้นกล่องใบหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้า
นางเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นี่คืออะไร?”
“นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า”
มู่ซืออวี่เปิดกล่องนั้นออกด้วยความงุนงง ปิ่นปักผมสีเงินชิ้นหนึ่งวางอยู่ในกล่อง ลวดลายของมันช่างงดงามตระการตา
“เจ้าบอกว่าไม่ชอบชุดนั้น ข้าเลยนำไปคืนแล้วเปลี่ยนเป็นปิ่นปักผมมาให้” ลู่อี้จ้องมองการตอบสนองของนาง
ทว่านางกลับดูไม่ยินดี นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร
ความรู้สึกสับสนพลันบังเกิดในใจเขาทันที
หญิงผู้นี้ชื่นชอบการได้รับของขวัญจากผู้อื่นมากที่สุดไม่ใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้นางจึงดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย?
“ข้าไม่ต้องการ” มู่ซืออวี่ผลักกล่องนั้นออกไป “เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้ข้า มอบให้คนที่สมควรได้รับเถิด!”
ลู่อี้บีบมือนางแน่น “มอบให้กับคนที่สมควรได้รับ? หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็มอบให้คนที่เจ้าตั้งใจจะมอบให้” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเป็นอัจฉริยะไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่เข้าใจประโยคง่าย ๆ?”
“ข้าตั้งใจจะให้เจ้า แต่เจ้าไม่ต้องการมัน” ลู่อี้กล่าวพลางขมวดคิ้ว
“เพราะข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการจะมอบให้” มู่ซืออวี่วางของในมือลง นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองลู่อี้อย่างจริงจัง “เหตุใดเจ้าถึงนำของขวัญมามอบให้ข้าถึงสองครั้ง? คิดจะไถ่โทษอย่างนั้นหรือ?”
“ไถ่โทษอะไรกัน?” ชายหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่นางเอ่ย
“ตอนแรกข้าก็คิดที่จะไม่ถือสา แต่ในเมื่อเจ้าสร้างปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จงมาทำให้กระจ่างกันเถิด”
มู่ซืออวี่นั่งลงบนเตียงตรงข้าม จ้องมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า “เหตุใดถึงมอบของขวัญเหล่านี้ให้ข้า?”
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า การที่ข้ามอบของขวัญให้เจ้าถือเป็นเรื่องผิดแปลกหรือ?”
“เอาล่ะ! ข้าเป็นภรรยาของเจ้า แล้วเฉินชุนอวี่เล่า? นางเป็นผู้ใด เหตุใดเจ้าจึงมอบเสื้อผ้าให้นาง?”
ลู่อี้ “…”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฉินชุนอวี่ได้อย่างไร?
เข้ามอบเสื้อผ้าให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เฉินชุนอวี่เอ่ยวาจาไร้สาระกับนางหลังจากได้สวมชุดที่เขาซื้อมาในวันนั้นงั้นรึ? วันนั้นมู่ซืออวี่เดินทางไปยังศาลาว่าการ คงได้พบกับเฉินชุนอวี่
“ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวอย่างนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ถามอย่างเย็นชา “ลู่อี้ หากเจ้ามีคนที่รักแล้วก็ทำตัวดี ๆ กับนาง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณข้า เราทั้งสองต่างรู้ดีว่าการแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด เจ้าแต่งงานด้วยความไม่เต็มใจ ดังนั้นข้าเข้าใจดีหากเจ้าจะรักกับหญิงอื่น”
“แต่ในเมื่อเจ้าเลือกหญิงอื่นแล้ว ก็จงอย่ากระทำตนเหมือนห่วงใยหรือรักใคร่ข้า ถือว่าเราทั้งสองเป็นเพียงคู่นอนชั่วคราวของกันและกัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะยอมมอบพื้นที่เคียงข้างกายเจ้าให้คนรักของเจ้า ตัวข้าเองไม่มีความรู้สึกใดต่อเจ้า ข้าไม่คิดทำสิ่งใดที่ไร้เหตุผล เจ้าวางใจได้!”
เฮ้อ! หลังจากกล่าวจบ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ทว่าลู่อี้กลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกอารมณ์ไม่ดี
‘ข้าจะยอมมอบพื้นที่เคียงข้างกายเจ้าให้คนรักของเจ้า…’
‘ข้าไม่คิดทำสิ่งใดที่ไร้เหตุผล…’
แน่นอนว่าสิ่งที่นางคิดอยู่เสมอคือพร้อมจะจากไป
“ข้าไม่ได้ให้เสื้อผ้านาง” ลู่อี้กล่าวพลางเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
มู่ซืออวี่จ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ “หรือว่านางโกหกข้า?”
ลู่อี้เดินจากไปโดยไม่ตอบอะไร
มู่ซืออวี่เม้มริมฝีปากแน่น “เจ้าโกรธหรือ?”
ทั้งหมดเป็นความผิดของนางใช่หรือไม่?
หากเขาไม่ได้มอบเสื้อผ้าให้เฉินชุนอวี่ ย่อมหมายความว่าทุกอย่างที่นางคิดไม่ใช่เรื่องจริง และเขาก็ไม่ได้รักใคร่หญิงอื่น
หากเป็นเช่นนั้นจริง การปฏิเสธเขาไปถึงสองครั้งก็น่าละอายยิ่งใช่หรือไม่?
มู่ซืออวี่กัดเล็บของตนด้วยความสงสัย นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ดูเหมือนคราวนี้นางจะเป็นฝ่ายผิด!
ความโกรธในตอนนั้นทำให้สมองของนางตันตีบ จึงไม่ได้รู้สึกระแคะระคายใจถึงสิ่งที่หญิงผู้นั้นพูด
“ท่านแม่ ลู่อี้เล่า?”
“น่าจะขึ้นไปบนภูเขาแล้ว” ถงซื่อกล่าว “เขาบอกว่าจะขึ้นไปดูกับดัก”
“อ้อ”
“พวกเจ้ามีปากเสียงกันหรือ?” ถงซื่อเอ่ยถาม “ข้าสังเกตเขาเมื่อครู่ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก”
“ไม่ใช่หรอก” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก”
“การเข้าไปทำงานที่ศาลาว่าการไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็เกรงใจเขาหน่อย อย่าพยายามเอาชนะเพียงฝ่ายเดียว ข้าเห็นว่าพ่อของฉาวอวี่ปฏิบัติกับเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนมาก ในอนาคตชีวิตของเจ้าจะไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน”
ฮึ ผู้ใดจะบอกได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคต?
ลู่เซวียนขยี้ตาพลางเดินออกมาจากห้อง “น้ำมันตะเกียงที่บ้านเราจะหมดแล้ว”
“ช่วงนี้เจ้านอนดึกเพื่อเขียนหนังสือใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ไม่ว่าตะเกียงน้ำมันจะมีมากเพียงใด ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายอีกแล้ว จากนี้ไปเจ้าต้องเขียนเฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนในเวลากลางคืน”
“เจ้าเป็นพี่สะใภ้อย่างไรกัน?” ลู่เซวียนจ้องมองนาง “ข้าต้องการน้ำมันตะเกียง”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะต้องการใช้น้ำมันตะเกียงหรือไม่ แต่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้านอนดึกเพื่อเขียนหนังสืออีก พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังข้า?”
“ช่างเถิด ข้าขี้เกียจจะโต้เถียงกับเจ้าแล้ว” ลู่เซวียนเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบูดบึ้ง