สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 132 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
บทที่ 132 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
บทที่ 132 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ถงซื่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นางรีบเดินตามไปคว้าถังไม้ในมือแม่เฒ่าเจียงแล้วโยนทิ้งลงน้ำ
ซ่า!
น้ำสาดกระเซ็นไปตามแรง
หญิงมากมายที่กำลังซักผ้าอยู่ต่างถูกน้ำกระเซ็นใส่ หลายคนเงยหน้ามอง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ถงซื่อกล้าโยนถังไม้ในมือแม่เฒ่าเจียงลงไปในน้ำ นี่พวกนางไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?
ถงซื่อ หญิงที่ขี้ขลาดที่สุดในหมู่บ้านน่ะหรือ!
นางถูกผู้คนจากตระกูลเจียงทรมานมานานหลายปี ไม่คิดขัดขืน ทว่าวันนี้นางกลับแข็งกร้าวขึ้นจนน่าแปลกใจ
นี่สินะที่เขาบอกไว้ว่า กระต่ายจะกัดคนก็ต่อเมื่อถูกต้อนให้จนมุม!
“นังบ้า!” แม่เฒ่าเจียงเงื้อมือขึ้น หมายจะตบถงซื่อด้วยความโกรธ
ถงซื่อหลับตาลงด้วยความกลัว
ทว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่ ความเจ็บปวดที่นางคาดไว้ก็ไม่ปรากฏขึ้น
ครั้นนางลืมตาขึ้นจึงพบว่ามู่ซืออวี่คว้าแขนของแม่เฒ่าเจียงไว้
“นังเด็กอวี่!”
แม่เฒ่าเจียงตะโกนด้วยความเจ็บปวด “ปล่อย! นังเด็กไร้มารยาท กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนแก่คนเฒ่า ข้าเป็นย่าของเจ้า คนอย่างเจ้าคงไม่รู้จักบาปกรรมสินะ!”
“ประการที่หนึ่ง ข้าไม่ได้ทำร้ายหรือตบตีท่าน ข้าเพียงห้ามไม่ให้ท่านรังแกแม่ของข้าก็เท่านั้น ท่านไม่เกี่ยวข้องกับแม่ของข้าอีกต่อไป อย่าคิดกดขี่นางเพราะคิดว่าตนเป็นแม่สามีนาง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สุภาพต่อท่านอีก”
“และประการที่สอง ท่านเป็นผู้สร้างปัญหาก่อน แม้ข้าจะตบตีท่านจริง ๆ แต่หากเหล่าทวยเทพได้เห็นก็จะคิดว่าข้ากำจัดอันตรายให้กับผู้คน”
หลังจากกล่าวจบ มู่ซืออวี่ก็มองไปยังถงซื่อ “ท่านแม่ ถังไม้ลอยออกไปแล้ว ไปเก็บกันเถอะ”
ถงซื่อพยักหน้า
แม่เฒ่าเจียงตบต้นขาของตนพลางสาปแช่งมู่ซืออวี่ที่กำลังเดินจากไป “สารเลว! ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าถูกสามีทิ้งให้เร็วที่สุด คนจิตใจเหี้ยมเยี่ยงหมาป่าเช่นเจ้าสมควรตายอย่างเลวร้าย!”
ถงซื่อขมวดคิ้ว หยุดเดินในทันที นางหันกลับมาหาแม่เฒ่าเจียง “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและลูกเขยของข้าดีเพียงใด แต่นางจะไม่ถูกสามีทอดทิ้งแน่นอน อีกทั้งลูกสาวของข้ายังเป็นคนกตัญญู นางจะมีอายุยืนไปถึงร้อยปีแน่”
“เจ้า!…”
“เจ้าอะไรหรือ? ท่านกลายเป็นหญิงชราที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของท่านอีกต่อไป แต่กลับยังบังคับให้ข้าซักเสื้อผ้าให้ ท่านไม่มีมือหรืออย่างไร? หากไม่มีมือก็จงใช้เท้าของท่านซักเถิด เหตุใดจึงต้องให้ข้าซัก?”
ทุกคนที่ได้ยินต่างอ้าปากค้าง
นี่ยังคงเป็นถงซื่อคนเดิมอีกหรือ?
แม้นางจะกล่าวด้วยแววตาที่ไม่มั่นใจนัก แต่คำพูดอันอาจหาญที่เปล่งต่อแม่เฒ่าเจียงก็น่าตกตะลึงพอสมควร นางเปลี่ยนไปแล้ว!
มู่ซืออวี่ยกนิ้วให้เพื่อชื่นชมถงซื่อ แก้มของถงซื่อจึงถึงกับแดงระเรื่อ
“เราไปกันเถิด”
นางจูงมือมู่ซืออวี่ไปทันที
มู่ต้าซานที่กำลังยกถังน้ำบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เขาเองก็ไม่เคยเห็นถงซื่อเป็นเช่นนี้มาก่อน
แสงสว่างปรากฏชัดในดวงตาของนาง ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวาอีกต่อไป
“มู่ต้าซาน ลูกสารเลว! เจ้ามาเพื่อดูแม่ของเจ้าถูกหญิงผู้นั้นรังแกใช่หรือไม่?” แม่เฒ่าเจียงหันไปด่ามู่ต้าซานแทน
มู่ต้าซานยกถังน้ำเดินจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
“จุ๊จุ๊ แย่จริง พี่สะใภ้ถงเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”
“ลูกชายของนางกำลังเรียนหนังสือ ลูกสาวและลูกเขยก็กตัญญู ชีวิตของนางกำลังดีขึ้น นั่นแหละคือที่มาของความแข็งกร้าวนี้”
“นางไม่ใช่ลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าเจียงอีกต่อไป เหตุใดจึงคิดถือโทษโกรธนาง?”
“เมื่อครู่พวกเจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือ มู่ต้าซานเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเต็ม ๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยแม่ของเขา วันดี ๆ ของแม่เฒ่าเจียงกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วกระมัง ช่างน่าสงสาร นางเองก็แก่ชราไม่น้อย แต่ไม่มีผู้ใดรอบตัวที่เคารพนางเลย”
ครั้นเห็นถังไม้มากมายลอยมา และหนึ่งในนั้นก็เป็นถังไม้ของแม่เฒ่าเจียง แต่แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกนางอย่างไร? แม่และลูกสาวจึงเพิกเฉยต่อถังไม้นั้นทันที
….
“พี่เฟิงเจิง” เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าลานบ้าน มู่ซืออวี่ก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านหายจากอาการป่วยแล้วหรือ?”
เฟิงเจิงเกาศีรษะของตนพลางพยักหน้าอย่างเขินอาย “หายดีแล้ว”
“ผิวพรรณของท่านยังคงดูไม่ดีนัก หายดีแล้วจริงหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ข้าหายแล้วจริง ๆ ความเจ็บปวดมาแล้วก็จากไป แต่จะให้จิตวิญญาณฟื้นฟูอย่างกะทันหันก็คงเป็นไปไม่ได้ ต้องปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เฟิงเจิงกล่าว “ชีวิตข้าไม่ได้มีช่วงเวลาที่ง่ายดายนัก น้องสะใภ้ก็รู้เรื่องนี้ดี”
ลู่อี้เดินออกมาจากด้านใน
“เหตุใดวันนี้เจ้าจึงกลับมาเร็วนัก?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ข้าพาเฟิงเจิงมาหาเจ้าแล้วจะเดินทางกลับไปศาลาว่าการ” ลู่อี้กล่าว “คราก่อนเจ้าบอกว่ามีงานให้เฟิงเจิงทำ”
“ใช่แล้ว” มู่ซืออวี่ยิ้ม “พี่เฟิงเจิง ท่านทำงานช่างไม้ได้หรือไม่?”
“ข้าทำไม่ได้” เฟิงเจิงตอบกลับอย่างหนักใจ
“ไม่เป็นไร อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก ข้าจะสอนให้ท่านเอง แล้วคนอื่น ๆ จากภัตตาคารเจียงซื่อหางานใหม่ได้แล้วหรือไม่? หากไม่ ท่านพาพวกเขามาช่วยข้าได้”
“น้องสะใภ้อวี่ เจ้าต้องการคนงานหรือ?” เฟิงเจิงถาม
“ใช่แล้ว! ข้ารับงานใหญ่มา ต้องการผู้ช่วยสองสามคน วันนี้ข้าตั้งใจจะเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง แต่มีเหตุบางอย่างจึงทำให้ล่าช้า ไม่ทันเกวียนเข้าเมือง เอาเช่นนี้เถิด! เราจะเดินทางเข้าไปในเมืองด้วยกัน จากนั้นท่านก็ไปหาคนมาทำงาน”
เฟิงเจิงจึงติดตามมู่ซืออวี่เข้าไปในเมืองอย่างเชื่อฟัง หลังจากลู่อี้เข้าไปในศาลาว่าการ มู่ซืออวี่และเฟิงเจิงก็เดินทางไปรับแรงงานคนอื่นทันที
ชายร่างกำยำกำลังหางานในเมือง พวกเขาเบียดเสียดผู้คนเข้าไปทั่วทุกบริเวณ แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมรับพวกเขาเข้าทำงานสักคน
เนื่องจากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในภัตตาคารเจียงซื่อ ทุกคนจึงพยายามหาเงินมาชำระหนี้ พวกเขาปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากคนในครอบครัว และบอกคนเหล่านั้นเพียงว่ากำลังหางานใหม่เพื่อรายได้ที่มากขึ้น
“ซูอวี้ ท่านต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของร้านอาหารแม่เฒ่าเจียง คนเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้พวกเขาติดหนี้ทางการ ต้องการหาเงิน ข้าอยากจะให้พวกเขาคอยเป็นผู้ช่วยข้า ท่านพอจะมีห้องว่างให้พวกเขาได้พึ่งพาอาศัยหรือไม่ ข้าขอให้พวกเขาได้อยู่ที่นี่สักพัก พวกเขาจะไปหลังจากหาที่อยู่ได้”
เจิ้งซูอวี้จ้องมองไปยังเหล่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านางก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมย “ด้านหลังมีห้องว่างอยู่สองห้อง เดิมทีเตรียมไว้ให้ลูกชายของข้าในอนาคต แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่มีที่อยู่อาศัย เช่นนั้นข้าจะให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ก่อน”
“รีบมาขอบคุณคุณหนูเจิ้งเร็วเข้า”
“ขอบคุณคุณหนูเจิ้ง” บรรดาชายหนุ่มกล่าวขอบคุณนางด้วยความซาบซึ้งใจ
ณ ภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง ผู้จัดการร้านจ้องมองไปยังหน้าร้านที่มีผู้คนพลุกพล่านด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ถังเหยียนจื้อที่อยู่เคียงข้างเขากล่าวขึ้นว่า “ท่านลุง แม้เราจะไม่ได้สูตรหมูตุ๋น ทว่านับตั้งแต่ภัตตาคารเจียงซื่อปิดตัวลง กิจการของเราก็กลับมาเฟื่องฟู สูตรหมูตุ๋นไม่จำเป็นสำหรับเราอีกต่อไป”
ผู้จัดการร้านกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ผู้ใดว่าไม่สำคัญ? ยังมีลูกค้าอีกมากที่มาถามเราว่ามีหมูตุ๋นเช่นเดียวกับภัตตาคารเจียงซื่อหรือไม่ พวกเขาไม่พอใจมากตอนที่รู้ว่าเราไม่มีหมูตุ๋น”
“ข้าได้ยินมาว่าภรรยาของลู่อี้ไม่ได้ขายหมูตุ๋นแล้ว แต่คนในหมู่บ้านของนางเป็นผู้ขายแทน เหตุใดเราจึงไม่ไปเจรจากับชาวบ้านพวกนั้นเล่า?”
“ไม่ใช่ปัญหาที่จะเจรจาค้าขาย แต่การจะไปเจรจากับคนทั้งหมู่บ้านเช่นนั้น เจ้าโง่เขลาหรืออย่างไร?” ผู้จัดการร้านกล่าวด้วยความไม่พอใจ “โชคดีที่ข้าเลือกพ่อครัวมือหนึ่งจากเมืองหลวงมา รสมือในการทำอาหารของเขายอดเยี่ยม ช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้มากมาย”
“ไม่ต้องการหมูตุ๋นแล้วใช่หรือไม่?” ถังเหยียนจื้อกล่าว “หากหมดเรื่องหมูตุ๋นแล้ว การร่วมมือของเรา…”
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการหลายคนก็เดินเข้ามาในร้าน เมื่อผู้จัดการร้านเห็นจึงรีบเข้าไปทักทายทันที
“นายท่านทั้งหลาย รับอะไรดีหรือ?”
นักการเกากล่าวกับผู้จัดการร้านทันที “ท่านเป็นผู้จัดการร้านแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ ใช่” ผู้จัดการร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากท่านมีสิ่งใดให้ข้าทำก็กล่าวมาเถิด ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่เกินความสามารถ ข้าย่อมทำให้ท่านได้”