สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 137 อวิ๋นเอ๋อร์อยากได้น้องสาวหรือเปล่า
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 137 อวิ๋นเอ๋อร์อยากได้น้องสาวหรือเปล่า
บทที่ 137 อวิ๋นเอ๋อร์อยากได้น้องสาวหรือเปล่า
บทที่ 137 อวิ๋นเอ๋อร์อยากได้น้องสาวหรือเปล่า
“เล่มสอง 50 ตำลึง”
มู่ซืออวี่ดันกองเหรียญไปทางลู่เซวียน
ลู่เซวียนเงยหน้าขึ้นมามองนาง “นี่จะไล่ข้าออกไปรึ?”
มู่ซืออวี่หัวเราะคิกคัก ก่อนจะคว้าเงินคืนมา “ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ”
เท่านั้นเองสีหน้าของลู่เซวียนจึงกลับมาเป็นปกติ
“เจ้าเก็บเงินไว้กับตัวสักหน่อย” ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา “ที่เหลือพี่สะใภ้เจ้าจะเก็บไว้ให้เจ้าก่อน รอเจ้าแต่งงานแล้วค่อยเอาให้ภรรยาของเจ้า”
ลู่เซวียนหน้าแดงก่ำ “ท่านพี่พูดอะไรน่ะ ร่างกายของข้าเป็นแบบนี้ จะเอ่ยเรื่องภรรยาได้อย่างไร ภายหน้าข้าก็ย่อมต้องพึ่งพาพวกท่าน”
“เจ้าคิดอยากจะพึ่ง แต่ข้าไม่ยินดีจะเลี้ยง น้องสามียังหนุ่มยังแน่นไม่แต่งงาน คนอื่นจะคิดว่าพี่สะใภ้รังแกเอา” มู่ซืออวี่กล่าว “แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากโชคชะตาของเจ้ามาแล้ว ดูซิว่าเจ้ายังจะไม่รีบร้อนอีกหรือเปล่า”
ทันใดนั้น ถงซื่อได้ถือไข่เดินออกมา “ลองชิมไข่จากไก่บ้านเราดู”
“ไก่พวกนั้นออกไข่แล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “อวิ๋นเอ๋อร์รีบกินเร็วเข้า ไก่ที่เจ้าเลี้ยงมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”
มู่ซืออวี่ปอกไข่ให้ลู่จื่ออวิ๋นเสร็จ ลู่อี้ก็ส่งไข่ที่ปอกแล้วมาให้
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะรับไข่มาอย่างเคอะเขินท่ามกลางสายตาจับจ้องของคนอื่น ๆ “ขอบคุณ”
“อวิ๋นเอ๋อร์ อยากได้น้องสาวหรือเปล่า?” ลู่เซวียนถามลู่จื่ออวิ๋น
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “อยากเจ้าค่ะ”
ลู่เซวียนคอยกระซิบอยู่ข้าง ๆ “เช่นนั้นก็ให้พ่อแม่ของเจ้าขยันให้มากหน่อย”
“แค่ก!” มู่ซืออวี่เกือบจะสำลักไข่
ลู่อี้ลูบหลังให้นาง แล้วจ้องลู่เซวียนอย่างตำหนิ
ลู่เซวียนเบ้ปาก “ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำเสียหน่อย จะตื่นเต้นอะไร”
ลู่จื่ออวิ๋นมองลู่อี้และมู่ซืออวี่ด้วยสายตาคาดหวัง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกำลังจะมีน้องหรือ?”
มู่ซืออวี่เพิ่งจะกลืนไข่แดงลงไป ได้แต่รับน้ำที่ลู่อี้ส่งให้แล้วดื่มเข้าไป สักพักถึงได้สงบลง
“พ่อกับแม่ยุ่ง ๆ น่ะ จะเข้าไปในเมืองแล้ว เจ้าอยู่บ้านก็เชื่อฟังท่านยาย ส่วนอาของเจ้า… เจ้าคอยดูเขา อย่าให้เขาเขียนหนังสือล่ะ”
พูดจบนางก็จับแขนลู่อี้ ดึงเขาไปจากสถานที่น่ากระอักกระอ่วนแห่งนี้
“ท่านพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย!” ลู่เซวียนตะโกนไล่หลังพวกเขาไป
มู่ซืออวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกลับมาคว้าไข่สองฟองแล้วยัดมันใส่มือของลู่อี้
ลู่อี้กำลังจะบังคับรถม้า แต่มู่ซืออวี่หยุดเขาเอาไว้ “ข้าจะบังคับเอง เจ้ากินก่อน”
เมื่อครู่เขามัวยุ่งอยู่กับการปอกไข่ให้นาง ตนเองจึงยังไม่ได้กิน
นับจากเมื่อคืนก็เป็นเวลามากกว่าสิบชั่วโมงแล้ว ไม่ว่าชายผู้นั้นจะแข็งแรงเพียงใดก็ทนหิวไม่ได้หรอก
ทันทีที่รถม้าเคลื่อนออกจากประตู เงาคนผู้หนึ่งก็พลันโผล่มาขวางหน้า
มู่ซืออวี่รู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหว ยังไม่ทันได้มีเวลาตอบสนอง ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยึดสายบังเหียนเอาไว้แล้ว
“หยุด!”
“โอ๊ย ข้ากลัวแทบตายแล้ว” อวี๋ซื่อที่กระโดดออกมากะทันหันลูบอกตนเองอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“ป้าอวี๋ ท่านจะทำอะไร?” มู่ซืออวี่ถามขึ้น
อวี๋ซื่อก้าวมาข้างหน้า แล้วเอ่ยกับลู่อี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ลู่อี้ เช้าขนาดนี้ก็จะไปศาลาว่าการแล้วหรือ?”
ลู่อี้ตอบอืมหนึ่งคำ
“ลู่อี้ คืนนี้เจ้ากลับมาเร็วสักหน่อย ไปกินข้าวเย็นที่บ้านข้าเถอะ” อวี๋ซื่อพูดไปหัวเราะฮ่าฮ่าไป
มู่ซืออวี่มองอวี๋ซื่ออย่างหวาดระแวง
ใจดีขนาดนี้เชียวหรือ?
หญิงออกเรือนผู้นี้ไม่เคยดูดำดูดีครอบครัวของพวกเขามาก่อน ทั้งยังเคยดูถูกลู่อี้และลู่เซวียนซึ่งเป็นหลานชายด้วย
“ข้าไม่แน่ใจว่าจะกลับมา” ลู่อี้กล่าวเรียบ ๆ “ระยะนี้ที่ศาลาว่าการมีเรื่องมากมาย ท่านป้ามีสิ่งใดก็เอ่ยปากออกมาเถอะ”
“เหตุใดกระทั่งเวลาจะกินข้าวก็ไม่มีแล้ว? เจ้าจะไม่กินข้าวเลยหรือ?” อวี๋ซื่อไม่พอใจ
แต่อย่างไรเสียประหยัดอาหารไปได้หนึ่งมื้อก็ดีเช่นกัน ในเมื่อเขาไม่อยากได้รับเกียรติ เช่นนั้นก็เอ่ยไปตรง ๆ แล้วกัน
“เรื่องเป็นอย่างนี้ เจ้าเห็นหรือเปล่า ลูกข้าน่ะสูงใหญ่ มีกำลังวังชา ทุกวันนี้เรื่อยเปื่อยอยู่ที่บ้านไม่ได้เรื่องอะไร ตอนนี้เจ้าทำงานอยู่ที่ศาลาว่าการไม่ใช่หรือ? ข้างกายจะไม่มีคนคอยช่วยเหลือได้อย่างไร? เจ้าพาเขาไปที่ศาลาว่าการสิ ถึงแม้เขาจะไม่รู้หนังสือ แต่ให้เขาเป็นนักการก็ได้นะ คอยเฝ้าคุก หรือไปจับคนร้ายข้างนอกก็ได้”
“อุ๊บ!”
มู่ซืออวี่หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร?” อวี๋ซื่อถลึงตามองมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่แม้ไม่ได้มองหน้าลู่อี้ก็รู้ได้ว่าเขากำลังมีสีหน้าเช่นไร
เห็นผีน่ะสิ!
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอวี๋ซื่อน่ะหรือจะไปจับคนร้าย?
แล้วเรื่องที่เขาไปปีนกำแพงบ้านแม่ม่ายนั้น จะถูกนักการจับไปเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว
“ป้าอวี๋ ท่านอย่าทำให้สามีของข้าลำบากใจเลย” มู่ซืออวี่ก้าวออกไป ทำตัวสมกับเป็นนางร้ายอีกครั้ง “เขาเป็นเพียงเสมียนคนหนึ่ง จะทำสิ่งใดได้? ศาลาว่าการก็ไม่ใช่ของครอบครัวเรา จะยกตำแหน่งให้ใครง่าย ๆ ได้ซะที่ไหน”
“เขาทำงานอยู่ในศาลาว่าการ จะต้องพูดอะไรได้บ้างสิ” อวี๋ซื่อยังคงคะยั้นคะยอ
“ขออภัยด้วย เสมียนในศาลาว่าการมีไม่กี่ร้อย ตำแหน่งของเขานับว่าไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ยเรียบ ๆ “หากผู้ใดก็สามารถพาคนเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการได้ เกรงว่าคงจะเละเทะไปตั้งนานแล้ว”
“พวกเจ้าเพียงแค่ไม่อยากช่วยน่ะสิ!” อวี๋ซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เป็นญาติกันแท้ ๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่ช่วย เป็นญาติประสาอะไรกัน?”
“ใช่ พวกข้าไม่อยากช่วยจริง ๆ นั่นแหละ” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างสงบนิ่ง “ญาติหรือ? น้องสามีข้าเจ็บไข้ได้ป่วย ในตอนที่ต้องการเงินจำนวนมากมารักษา ก็ไม่เห็นจะมีญาติที่ไหนยื่นมือมาช่วย”
“นั่นเป็นเพราะพวกเราไม่มีเงิน”
“ตอนนี้พวกข้าก็ไม่มีหนทางเช่นกัน หลีกไปดีกว่า อย่ามาขวางทาง” นางเอ่ยขึ้นว่า “กีบเท้าม้าไม่มีตา คราวหน้าหากมันดีดเข้าก็อย่าได้มาตำหนิพวกเรา ย่าห์!”
อวี๋ซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตะโกนตามหลังรถม้าไป “ลู่อี้! เจ้ามันใจจืดใจดำ ปล่อยให้หญิงผู้นั้นจูงจมูก ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม หากพ่อแม่เจ้าที่อยู่เบื้องล่างรู้เข้า กลัวว่าจะโกรธจนต้องลุกขึ้นมา”
โครม!
ถงซื่อเปิดประตูออกมาพูดกับอวี๋ซื่อว่า “ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาหยาบคายเช่นนั้น พวกเขาสองสามีภรรยาจะใช้ชีวิตเช่นไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง”
“แล้วอย่างไร ข้าในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่พูดแค่ไม่กี่คำไม่ได้หรือ? ข้าว่านะ แม่เจิ้งหาน เจ้าถูกมู่ต้าซานหย่ามา เหตุใดยังไม่รู้จักชะโงกมองตัวเอง หากเจ้าไม่มีเรื่องให้ตำหนิ ผู้ชายยังจะหย่ากับเจ้าอีกหรือ?”
“งั้นท่านจะบอกว่าสามีท่านตายไปเพราะท่านไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นโผล่หัวเล็ก ๆ ออกมาจากข้างหลัง กะพริบตากลมโตปริบ ๆ แล้วถามขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา
ถงซื่อ “…”
อวี๋ซื่อ “….”
ลู่จื่ออวิ๋นงงงวย “ข้าพูดไม่ถูกหรือ? แม่บอกว่าข้าเฉลียวฉลาด ข้าเข้าใจคำพูดของคนอื่น ท่านหมายถึงเช่นนี้ใช่ไหมเจ้าคะ เป็นเพราะท่านไม่ดี สามีท่านจึงได้จากไปเร็ว”
“นังเด็กดื้อ! ของเสียเงิน*[1]!” อวี๋ซื่อเก็บกิ่งไม้บนพื้นขึ้น หมายจะเข้ามาตีลู่จื่ออวิ๋น
“อ๊าา! เสี่ยวเฮย”
โฮ่ง!
สุนัขเห่าขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของอวี๋ซื่อ
“อย่าเข้ามานะ! อย่าเข้ามา! ”
นางร้องไปวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไป
“ฮ่าฮ่า” เมื่อเห็นอวี๋ซื่อวิ่งหนีสุนัขอย่างน่าขบขัน ถงซื่อก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แต่เมื่อถงซื่อหันมามองลู่จื่ออวิ๋น ก็เห็นเด็กน้อยไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก ท่าทางดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องกลัว อวิ๋นเอ๋อร์ สาสมกับสิ่งที่นางทำแล้ว” ถงซื่อเอ่ยอย่างรักใคร่
“ท่านยาย อวิ๋นเอ๋อร์พูดผิดไปใช่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเศร้าใจ
“ไม่ เจ้าทำได้ดีมาก” ถงซื่อดึงลู่จื่ออวิ๋นเข้ามากอด รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก “ปากนางเหม็นโฉ่เช่นนี้ สมควรถูกสุนัขไล่ต้อน ครั้งหน้าจะเป็นพวกเราที่ไล่นาง”
[1] ของเสียเงิน เป็นศัพท์เก่าที่ใช้เรียกเด็กผู้หญิง เนื่องจากทางครอบครัวต้องเตรียมสินเดิมให้เมื่อถึงเวลาต้องแต่งงาน จึงเป็นที่มาของคำเรียกนี้