สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 141 หรือว่าจะกลัว
บทที่ 141 หรือว่าจะกลัว
บทที่ 141 หรือว่าจะกลัว
“ข้าขอเชิญพวกท่านไปทานอาหาร” เจิ้งซูอวี้เอ่ยขึ้น “วันนี้ขอบคุณพวกท่านจริง ๆ”
“ดีจริงเชียว” มู่ซืออวี่รับคำ “พวกข้าทำงานล่วงเวลาให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านจะต้องตอบแทนพวกเราให้ดีเสียแล้ว”
ตอนนี้ร้านอาหารขนาดใหญ่สองร้านปิดลงพร้อมกัน เจิ้งซูอวี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเชิญพวกเขาไปทานที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ร้านอื่นแทน
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจิ้งซูอวี้ก็อยู่ไม่นานนัก หลังจากไหว้วานพวกเขาซ้ำไปซ้ำมาก็กลับจวนไปก่อน
บรรดาลูกจ้างล้วนไม่อยากเป็นก้างขวางคอพวกลู่อี้ พวกเขาจึงรีบแจ้นจากไปก่อน
“นึกไม่ถึงว่าตลาดยามค่ำคืนในเมืองจะครึกครื้นเช่นนี้” มู่ซืออวี่มองดูท้องถนนที่คึกคักแล้วเอ่ยขึ้นมา “เทียบกับบรรยากาศเคร่งเครียดตอนกลางวันแล้ว ผู้คนตอนกลางคืนดูเหมือนจะผ่อนคลายกว่ามาก แถมรอยยิ้มก็กว้างกว่าเดิมด้วย”
“กลางวันวิ่งดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิต กลางคืนหลังจากยุ่งมาทั้งวันย่อมต้องอยากผ่อนคลาย บ้างก็ออกมาเดินเล่นกับครอบครัว บางทีอาจจะแค่มาชมดู ไม่ได้ซื้อสิ่งใด เท่านี้ก็ผ่อนคลายแล้ว”
ลู่อี้ขยับไปขวางด้านข้าง ป้องกันไม่ให้ชายชราที่กำลังเข็นเกวียนผ่านมาชนมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันหน้าไปมอง ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองชายร่างสูงตรงหน้า
ทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอยู่ตรงทางเดิน
ชั่วขณะนั้นราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ในสายตามีเพียงกันและกันเท่านั้น
พลั่ก!
เด็กซุกซนคนหนึ่งวิ่งมาชนพวกเขา มู่ซืออวี่จึงล้มลงในอ้อมแขนของลู่อี้ เขากอดนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ข้าขอโทษ เขาขาดการอบรม รบกวนทั้งสองท่านแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร” ลู่อี้กอดมู่ซืออวี่ไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยเสียงเรียบ “แต่โปรดระมัดระวัง อย่าได้ไปชนผู้อื่นอีกล่ะ”
หญิงสาวคนนั้นรีบดึงเด็กมาขอโทษก่อนจะเดินจากไป
มู่ซืออวี่พบว่าลู่อี้ยังไม่ปล่อยจึงขยับตัว เพื่อเป็นการบอกให้เขาปล่อยนางได้แล้ว
“คนเยอะเกินไป จะได้ไม่พลัดหลงกัน” ลู่อี้ดึงมือนางมากุมไว้ไม่ยอมปล่อย
มู่ซืออวี่ขยุกขยิกสองสามครั้ง แต่ไม่กล้าสลัดออก ทำได้แต่จ้องทิ้งท้ายตาเขม็ง
มือของเขาทั้งใหญ่ทั้งอุ่น มือเล็ก ๆ ของนางถูกเขากอบกุมเอาไว้มิด มู่ซืออวี่คิดแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมา
“สหายลู่อี้ ไม่พบกันนานเลยนะ!”
ชายหนุ่มสองคนในชุดบัณฑิตเดินมาจากฝั่งตรงข้าม
สีหน้าของลู่อี้สียังคงเรียบเฉยดังเดิม “อืม ไม่พบกันนาน”
“สหายจากสำนักบัณฑิตของพวกเรารวมตัวอยู่ข้างบน ไปด้วยกันเป็นอย่างไร?” ถังหมิงฉงหัวเราะร่วน
“ข้าไม่ว่าง” ลู่อี้กล่าว จากนั้นดึงมู่ซืออวี่และกำลังจะจากไป
“เดี๋ยวสิ!” เฉียนจงอวิ๋นขวางเขาเอาไว้ “เจ้าเป็นเช่นนี้เราก็ยิ่งปวดใจ ถึงแม้เจ้าจะออกจากสำนักบัณฑิตแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นสหายร่วมเรียนกัน เหตุใดเจ้าจึงเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่รู้จักคนแล้วเล่า?”
“นั่นน่ะสิ” ถังหมิงฉงเห็นด้วย
มู่ซืออวี่หมดความอดทน “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“กล่าวตามตรง พวกเราพบปัญหาข้อหนึ่ง ในเมื่อลู่อี้เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนัก เขาจะต้องช่วยพวกเราแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน ตามพวกข้ามาเถอะ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า”
ลู่อี้เงยหน้ามองโรงน้ำชา ที่นั่นมีสหายร่วมเรียนของเขาจำนวนหนึ่ง
คำท้ารบนี้แม้ไม่อยากรับก็ต้องรับ หากเดินจากไป ผู้อื่นก็จะคิดว่าเขากลัว เขาไม่สนเรื่องหน้าตาอะไรนั่น แต่ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์ต้องเสื่อมเสียได้
เขามองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปรอข้าข้างหน้า”
“ข้าจะไปกับเจ้า” มู่ซืออวี่ยิ้มบางเบา “ข้าสงสัยว่าบัณฑิตเหล่านี้อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้อะไรกับเจ้า”
คนราว ๆ สิบกว่าคนที่อยู่ข้างบนเห็นว่าไม่เพียงแต่ลู่อี้ที่ขึ้นมา ยังพาฮูหยินบ้านนอกผู้นั้นขึ้นมาด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างช่วยไม่ได้
“ลู่อี้ขึ้นมาแล้ว”
“อืม” ฟางโจวอวี่มองร่างของลู่อี้ที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ถึงแม้พวกบัณทิตจะไม่ชอบลู่อี้ แต่ก็ยังคงทักทายเขา
ลู่อี้จึงทักทายกลับ
ฟางโจวอวี่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “ไม่ง่ายนักที่จะได้พบกับลู่อี้ในวันธรรมดาเช่นนี้ วันนี้นับว่าเป็นโชคชะตาลิขิต เราถึงได้มาพบกันที่นี่”
“ในวันธรรมดา ลู่อี้ต้องหาเลี้ยงครอบครัวนี่นา พวกเราจะเห็นได้อย่างไร” บัณฑิตข้างกายคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา
“นี่อะไร? พวกเจ้าเรียกสามีของข้ามาที่นี่เพื่อลับฝีปากกันหรอกหรือ? เช่นนั้นสามีของข้าจะต้องแพ้แน่แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างนิ่งขรึม
“บุรุษพูดคุยกัน ไยสตรีเข้ามาขัด? ลู่อี้ เจ้าควรสอนสตรีว่าควรประพฤติตนเช่นไร”
“ดูถูกเหยียดหยามสตรีเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าออกมาจากท้องของสตรีหรอกหรือ หรือว่าเจ้าออกมาจากก้อนหิน?”
“เจ้า!”
มู่ซืออวี่สะบัดมือ “พวกเจ้าเรียกสามีของข้ามาทำอะไร? ไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังยุ่ง”
“ภรรยาข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ทุกคนอย่าได้ใส่ใจ” ลู่อี้กล่าวจบก็เอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ข้ารู้ว่าเจ้ารีบร้อนอยากไปตลาดกลางคืน แต่อดทนรอประเดี๋ยว ไม่นานก็ไปได้แล้ว”
มู่ซืออวี่เบ้ปาก “อื้ม”
ทุกคนเห็นลู่อี้อ่อนโยนกับฮูหยินคนนี้ก็นึกถึงคำร่ำลือที่ว่าเขาไม่รักใคร่ภรรยาตนเอง ดูเหมือนข่าวลือนั้นจะผิดทั้งเพ!
ฟางโจวอวี่เอ่ยเบา ๆ “ลู่อี้โปรดดู”
เบื้องหน้ามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ข้างบนมีคำบางคำเขียนเอาไว้
ลู่อี้หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะทำสีหน้าพิลึกพิลั่นออกมา
มู่ซืออวี่ดึงชายเสื้อของลู่อี้ไว้ ลู่อี้จึงเข้าใจทันที เขาส่งหนังสือในมือเล่มนั้นให้นางดู
คนอื่น ๆ มองนางอย่างดูถูกดูแคลน
“อะไรนี่? ฮูหยินลู่ยังอ่านหนังสือได้ด้วยหรือ?” เฉียนจงอวิ๋นหัวเราะออกมา
“พวกเจ้าทำให้พวกเราไปตลาดกลางคืนล่าช้าเพราะสิ่งนี้น่ะหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “ไม่จำเป็นต้องให้สามีข้าบอกคำตอบให้พวกเจ้า ข้าจะบอกพวกเจ้าเองดีหรือไม่?”
“เจ้าน่ะรึ?” ถังหมิงฉงชักสีหน้าไม่พอใจ “หญิงออกเรือนผู้หนึ่งอ่านหนังสือได้เพียงไม่กี่ตัวอักษรก็อัศจรรย์แล้ว ยังจะแก้โจทย์คำนวณได้อีกหรือ?”
มู่ซืออวี่กลอกตา
“ไก่และกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน มีหัว 35 หัว มีเท้า 94 เท้า มีไก่และกระต่ายอยู่เท่าไหร่?”
คำถามของเด็กประถมปีที่สามพรรค์นี้พวกเขายังเอามาสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่นอีก ทำให้พวกนางลำบากแล้วจริง ๆ
“ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเท่าไหร่?”
มู่ซืออวี่ฉีกยิ้ม “รู้สิ! มีกระต่าย 12 ตัว ไก่ 23 ตัว”
“คาดเดากระมัง!”
“ใช่ ข้าเดา”
“ฮูหยินของข้าไม่ได้พูดผิด” ลู่อี้กล่าวเสียงเอื่อย “ปัญหาข้อนี้ไม่ยากเลย”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ในตอนนี้เองสีหน้าของพวกเขากลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา
เมื่อไม่นานมานี้ราชสำนักกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ แจ้งว่าการสอบขุนนางจะเพิ่มวิชาคำนวณเข้ามา ท่านอาจารย์ได้โจทย์เหล่านี้มา จึงให้พวกเขาเรียนรู้ในเวลาว่าง ผลที่ได้คือยังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจ
นี่เป็นข้อกำหนดใหม่ของราชวงศ์นี้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดังนั้นบัณฑิตจึงร้อนรนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุที่รวมตัวกันในวันนี้เป็นเพราะอยากจะวิจารณ์ ปลดปล่อยความอัดอั้นในหลายวันมานี้
เดิมทีอยากจะใช้สิ่งนี้สร้างความอับอายให้ลู่อี้ นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นทำให้ตนเองอับอายเสียเอง
ลู่อี้เอ่ยปากขึ้นเนือย ๆ “สมมติมีแค่ไก่อยู่ในกรงขัง เช่นนั้นเท้าพวกมันควรเป็น 70…”
ทุกคนได้ฟังคำอธิบายของลู่อี้ก็ไม่อาจโต้แย้งกลับได้แม้แต่คำเดียว
วิธีคิดชัดเจนมาก แม้กระทั่งเด็กไม่กี่ขวบก็สามารถเข้าใจได้ หากยังคิดจะทำให้เรื่องยุ่งยากอีก รังแต่จะทำให้ตนเองดูโง่เท่านั้น
“ลู่อี้ช่างหลักแหลม พวกเราเทียบเจ้าไม่ติดเลยจริง ๆ” ฟางโจวอวี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “หากลู่อี้เข้าร่วมในการสอบขุนนาง จะต้องอยู่บนป้ายทอง*[1] แน่นอน”
“คำกล่าวนี้ผิดแล้ว ราชวงศ์นี้มีกฎว่าคนที่มีรอยตำหนิไม่อนุญาตให้เข้าร่วมในการสอบขุนนาง ไม่ว่าลู่อี้จะฉลาดมากเพียงใด แต่ใบหน้านั้น… เกรงว่าจะไม่ผ่านการทดสอบ” ถังหมิงฉงเยาะเย้ย
“พวกเจ้าช่างน่าสนใจจริง ๆ โจมตีความฉลาดไม่ได้ก็โจมตีรูปลักษณ์ ทำเช่นนี้ถึงจะทำให้จิตใจของพวกเจ้าสงบสุขหรือ?” มู่ซืออวี่ดึงมือของลู่อี้มาเป็นการปลอบประโลมเขาเงียบ ๆ “แม้กระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งก็แก้โจทย์เช่นนี้ได้ แต่พวกเจ้ากลับไม่สามารถ แค่นี้ก็น่าขันพอแล้ว หากพวกเจ้าในสภาพเช่นนี้ยังคิดจะเข้าร่วมการสอบขุนนาง คิดจริง ๆ หรือว่าราชสำนักจะเลือก?”
“ไม่ใช่ว่าอยากไปตลาดกลางคืนหรือ?” ลู่อี้กระซิบ “พวกเราไปเถอะ”
“ช้าก่อน พวกเรายังมีบางคำถาม”
คนผู้นั้นยังกล่าวไม่จบประโยค มู่ซืออวี่ก็คว้าหนังสือจากมืออีกฝ่ายไปเสียก่อน หลังจากอ่านคำถาม นางก็เขียนคำตอบลงไปอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ ไม่ต้องมาโต้แย้งกับสามีข้าแล้ว เขายุ่งมาก มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้าเสียเมื่อไหร่?” มู่ซืออวี่เขียนเสร็จก็คว้ามือของลู่อี้มาอีกครั้งแล้วเดินลงไปข้างล่าง
ลู่อี้ปล่อยให้นางจูงไป เขาให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง
เขามองมือที่กอบกุมกัน ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวตัวเล็กข้างหน้าอีกครั้ง สายตาชายหนุ่มตอนนี้มีความอ่อนโยนคลออยู่เต็มเปี่ยม
[1] ป้ายทอง คือ ป้ายประกาศผู้ที่ผ่านการสอบขุนนางในอดีต