สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 142 อย่ามาแตะข้า ข้าง่วง
บทที่ 142 อย่ามาแตะข้า ข้าง่วง
บทที่ 142 อย่ามาแตะข้า ข้าง่วง
บรรยากาศในโรงน้ำชาเงียบสนิท
ถังหมิงฉงคลี่พัดของเขาอย่างร้อนรน แล้วเอ่ยตามประสาคนปากแข็ง “ผู้ใดจะรู้ว่าถูกหรือไม่ ข้าว่าหญิงคนนั้นช่างมากเล่ห์จริง ๆ บางทีนางอาจจะจงใจเขียนเลขผิด ๆ ลงไป”
“ท่านเจ้าสำนัก! ท่านอาจารย์!”
ใครบางคนเปิดประตูเข้ามา จากนั้นเจ้าสำนักก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ข้างหลังมีอาจารย์แห่งสำนักบัณฑิตเขาเขียวติดตามมาด้วย
อาจารย์เฉียนหยิบหนังสือเล่มที่มู่ซืออวี่อ่านเมื่อครู่นี้ขึ้นมา แล้วมอบให้เจ้าสำนักด้วยสองมือ
หลังจากเจ้าสำนักอ่านจบก็ถอนหายใจ
“ท่านเจ้าสำนัก หญิงผู้นั้นเพียงแค่เดาสุ่มเขียนขึ้นมา ท่านอย่าได้โมโหไปเลย” ถังหมิงฉงเอ่ย
“เฮอะ!” ไป๋เหวยคังมองถังหมิงฉงอย่างเย็นชา “เขียนขึ้นมาสุ่ม ๆ แล้วยังถูกได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้านี้แม้กระทั่งสตรีก็สู้ไม่ได้”
ทุกคนถึงกับตะลึง
จะเป็นไปได้อย่างไร?
รอบแรกนางทำได้ถูกต้อง รอบนี้ยังทำได้ถูกต้องอีก นี่จะกล่าวเกินจริงไปหน่อยหรือเปล่า
โจทย์ปัญหาเมื่อครู่นี้ง่ายที่สุด ส่วนข้อหลังนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่หดหู่เช่นนี้
“นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าภรรยาลู่อี้จะฉลาดเฉลียว หากมีภรรยาเช่นนี้ เขาจะต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน” อาจารย์กล่าวชื่นชม
“น่าเสียดาย…” แววตาของไป๋เหวยคังเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง
เสียดายศิษย์รักของเขาเหลือเกิน
….
ในตอนที่มู่ซืออวี่กลับมาที่ร้าน คนอื่น ๆ ก็กลับมาแล้ว
พวกเขาทำงานในร้านต่อจนถึงกลางดึกอันเงียบสงัด คนงานกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน ส่วนลู่อี้พามู่ซืออวี่ไปค้างแรมที่โรงเตี๊ยม
“ฮูหยิน น้ำร้อนพร้อมแล้ว ค่อย ๆ ใช้นะขอรับ” คนดูแลโรงเตี๊ยมทักทายด้วยรอยยิ้ม
มู่ซืออวี่พยักหน้ายิ้ม ๆ “ขอบคุณ”
ข้างหลังฉากบังตา น้ำร้อนในถังน้ำแผ่ไอร้อนออกมา ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยไอน้ำอุ่น
มู่ซืออวี่เหนื่อยล้าเต็มทน เห็นน้ำร้อนแล้วทำให้รู้สึกสบายไม่น้อย นางร้อนอกร้อนใจอยากจะปลดผ้าคาดเอวโดยเร็ว แต่จู่ ๆ นางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดปลดผ้าคาดเอวแล้วหันกลับไปมอง
ลู่อี้กระแอมเบา ๆ หนึ่งที “ข้าจะออกไปสูดอากาศ”
ปัง!
ประตูเปิดออก จากนั้นก็ปิดลง
เหลือเพียงมู่ซืออวี่อยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ในที่สุดนางก็ได้อาบน้ำร้อนแสนสบาย
“ฮ้าาา สบายสุด ๆ” มู่ซืออวี่นอนลงในถัง
ลู่อี้ยืนอยู่ที่ประตู หลังจากได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากข้างในก็ยิ้มออกมาบาง ๆ
ในขณะเดียวกัน ห้องข้าง ๆ ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมา เป็นเสียงของบุรุษสตรีผสานกันอย่างกำกวม ไม่เบาแต่อย่างใด
ลู่อี้คลายคอเสื้อของตน กำลังจะเดินไปด้านซ้าย ทว่าเสียงที่ออกมาจากทางซ้ายไม่ได้เบาไปกว่าทางขวานัก
ลู่อี้ “…”
นี่มันโรงเตี๊ยม มาทำอะไรกัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้คนดูแลโรงเตี๊ยมถึงได้มองพวกเขาแปลก ๆ บางทีอาจนึกว่าพวกเขาเป็นประเภทเดียวกับบุรุษสตรีที่ลอบร่วมรักกันเหล่านั้น
“เหตุใดข้างในจึงเงียบเสียงไปแล้ว?” ลู่อี้พึมพำกับตนเอง
เขารออยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังไม่มีเสียงอะไร จึงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเข้าไปดูข้างใน
“เจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วหรือ?” ลู่อี้พยายามตะโกนเข้าไปข้างใน
“ข้าจะเข้าไปแล้ว”
ขณะที่ลู่อี้กล่าว เขาก็เดินเข้าไปข้างหลังฉากบังตา
มู่ซืออวี่นอนอยู่ตรงขอบถัง หลับตาพริ้มอยู่ใต้แสงไฟ รอบตัวปกคลุมด้วยม่านหมอก ขับให้นางดูน่าพิศวงไม่น้อย
ลู่อี้เบือนหน้าหนี แตะแขนของนางเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ตื่นเถิด”
“อย่าหลับตรงนี้”
“ฮูหยิน… ตื่นเถิด”
มู่ซืออวี่ทำปากขมุบขมิบ หายใจฮึดฮัดแล้วปัดมือเขาออก “อย่ามาแตะข้า ข้าง่วง”
น้ำเย็นลงแล้ว ไม่อาจปล่อยให้นางหลับอยู่เช่นนี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้ต้องจับไข้เป็นแน่
ลู่อี้มองไปรอบ ๆ แล้วจึงหยิบเสื้อผ้าของนางขึ้นมา จากนั้นห่อตัวของนางเอาไว้ แล้วอุ้มนางไปยังเตียงนอน
ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นกลาง แต่เสื้อผ้านี้ก็บางเป็นอย่างมาก เขาจึงสัมผัสได้ถึงผิวอันอ่อนนุ่มของนางอย่างช่วยไม่ได้
ลู่อี้วางนางลงบนเตียง จากนั้นห่มผ้าให้ เหลือเพียงศีรษะที่โผล่พ้นออกมา
เขาเพิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกก็เห็นนางพลิกตัวหันไปอีกทาง ด้วยเหตุนี้แผ่นหลังขาวผ่องจึงเผยออกมาให้เห็น
เขาข่มตาลง ห่มผ้าให้นางอีกครั้ง
ฟึ่บ
ฟึ่บ
หลังจากพลิกกลับไปกลับมา เขาก็ชุ่มโชกไปทั้งตัว
หน้าผากของเขาเปียกชื้น แม้แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นน้ำอาบหรือเหงื่อกันแน่
ลู่อี้เข้ามาข้างหลังฉากบังตา ใช้น้ำที่อาบแล้วชำระล้างร่างกายของตัวเอง
เขาเดินไปที่เตียงอีกครั้ง มองมู่ซืออวี่ผู้หลับไปด้วยท่านอนที่ผิดแปลกเป็นพิเศษ จากนั้นจึงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบหนังสือออกจากห่อผ้าที่นำมาด้วย
เขาอาศัยแสงเทียนเพื่ออ่านมัน
….
“ซาลาเปา ซาลาเปานึ่งร้อน ๆ ขายซาลาเปาจ้า!”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่งกะทันหัน “ซาลาเปา!”
ลู่อี้ผู้ที่เพิ่งเอนตัวลงนอนบนพื้นได้ครู่เดียวลืมตาขึ้น เขามองดูมู่ซืออวี่ที่กำลังสับสนมึนงง เมื่อเห็นร่างกายขาวนวลก็ไอขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะละสายตาออกอย่างว้าวุ่นใจ
“เจ้า… เจ้าใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ”
“อะไรหรือ… ว้าย!” มู่ซืออวี่กรีดร้อง
ลู่อี้รีบวิ่งเข้าไปปิดปากนางไว้ทันที
มู่ซืออวี่จ้องมองเขา สายตาทั้งขัดเขินทั้งหมดอาลัยตายอยาก
ลู่อี้รู้ทันทีว่านางเข้าใจผิดแล้ว จึงเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วน “เมื่อคืนเจ้าเหนื่อยเกินไป ระหว่างอาบน้ำจึงหลับไปกลางคัน น้ำเย็นเกินไป ข้าปลุกแล้วเจ้าก็ไม่ตื่น ข้าเลยอุ้มเจ้าไปนอนบนเตียง”
“แค่เพียงอุ้มข้ามาไว้บนเตียงหรือ?” มู่ซืออวี่ได้ฟังคำอธิบายของเขาแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมา
แม้แต่อยู่ระหว่างอาบน้ำก็ยังหลับได้ ดูเหมือนเมื่อวานนี้นางจะอ่อนล้าจริง ๆ
ร่างกายนี้เปราะบางนัก
“อืม” ลู่อี้หลุบตาลง
“เช่นนั้นเจ้าได้…”
“ไม่”
“ข้ายังไม่ทันพูดเลย! เจ้าคงไม่ได้กินปูนร้อนท้องใช่หรือไม่?”
“ข้าใช้เสื้อผ้าห่อเจ้าไว้ ไม่ได้แตะต้องเจ้า” ลู่อี้เอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก
ในความเป็นจริง เสื้อผ้าบางขนาดนั้นจะไม่แตะได้อย่างไร ตอนที่เขาอุ้มนางขึ้นมา ดูเหมือนจะไปแตะบางสิ่งที่นุ่มหยุ่นเป็นพิเศษเข้าด้วย
แต่เรื่องเหล่านี้เขาไม่กล้าบอกนาง มิเช่นนั้นเขาจะไม่กลายเป็นคนมักมากบ้าตัณหาหรือ
มู่ซืออวี่กระดากอาย ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดไปชั่วขณะ
“เสื้อผ้ายับยู่ยี่หมดแล้ว ข้าจะใส่อย่างไร?”
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” ลู่อี้บอก
มู่ซืออวี่มองลู่อี้วิ่งออกไป นางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมด้วยความโมโหแล้วบ่นออกมา
“น่าอายเกินไปแล้ว!!”
ถึงแม้ร่างกายนี้จะเป็นภรรยาของลู่อี้ ทั้งสองคนมีสัมพันธ์ทางกายกันมานานแล้ว แต่นางไม่เคยเปลื้องผ้าต่อหน้าชายใด
มู่ซืออวี่พันร่างกายของตัวเองประหนึ่งเป็นดักแด้
ไม่นานนักก็มีคนมาแตะนาง หญิงสาวจึงโผล่หัวออกมา ช้อนตามองชายหนุ่มตรงหน้า
ลู่อี้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของนางแดงเรื่อ ริมฝีปากแดงก่ำถูกขบเม้มเล็กน้อยเหมือนลูกแมวขี้รำคาญ ราวกับว่าวินาทีถัดไปนางจะปรี่เข้ามาข่วนเขา
“ข้าซื้อเสื้อผ้ามาให้เจ้า ไม่รู้ว่าพอดีหรือไม่ ข้าวางไว้ตรงนี้นะ”
ลู่อี้วางชุดกระโปรงไว้ข้างเตียง
มู่ซืออวี่เหลือบมอง เห็นเป็นสีฟ้าครามสีโปรดของนางก็ตอบไปว่า
“ขอบคุณ”
เมื่อลู่อี้เดินออกไป มู่ซืออวี่ก็ลงจากเตียง
ลู่อี้หยุดยืนอยู่ที่ประตู พอดีกับที่คนในห้องทางขวาเดินออกมา
“…”
“…”
ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากัน
เป็นถังเหยียนจื้อและมู่ซือเจียวนั่นเอง
มู่ซือเจียวหน้าเปลี่ยนสีทันที “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
ลู่อี้ไม่อยากพูดด้วยแต่อย่างใด
มู่ซือเจียวมองที่ที่ลู่อี้ยืนอยู่ ความเย้ยหยันแวบผ่านสายตาของนาง “ข้านึกว่ามู่ซืออวี่จะเก่งกาจ ที่ไหนได้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ข้าว่าแล้ว สายตาของเจ้าไม่มืดบอด จะทนอยู่กับมู่ซืออวี่ไปเพื่ออะไร ที่แท้เจ้ากลับออกมามีเรื่องราวดี ๆ อยู่ข้างนอกนี่เอง”
ถังเหยียนจื้อก็รู้จักลู่อี้เช่นกัน เขาตบหลังมือของมู่ซือเจียวเบา ๆ “เจียวเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทานอาหารเช้ารสเลิศ”
“ท่านพี่ดีกับข้าที่สุดแล้ว” มู่ซือเจียวเอ่ยอย่างออดอ้อน
มู่ซืออวี่เปิดประตูออกมาเอ่ยกับลู่อี้ว่า “นี่ข้าหูฝาดไปใช่หรือไม่? เหตุใดข้าถึงได้ยินเสียงหญิงบ้ามู่ซือเจียวเล่า?”
เมื่อเห็นมู่ซือเจียวเบิกตากว้าง นางก็เงียบเสียงลง
ที่แท้ไม่ใช่หูฝาด แต่เป็นหญิงบ้านั่นจริง ๆ!