สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ
บทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ?
บทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ?
รถม้าเคลื่อนไปยังบ้านถงซื่อ
หน้าประตูมีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นถงซื่อและลู่จื่ออวิ๋นที่รออยู่ที่นั่น
“ท่านแม่ อวิ๋นเอ๋อร์ ยืนทำอะไรอยู่ที่นี่ รีบเข้าไปเร็ว”
“ท่านแม่กลับมาแล้ว! ท่านแม่กลับมาแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
ถงซื่อเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อวานนี้เจ้าไม่ได้กลับมา เด็กคนนี้เอ่ยถึงเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟ้ายังไม่มืดก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว พวกเราคิดว่าเจ้าคงใกล้จะกลับมาแล้วก็เลยมารออยู่ที่นี่”
“เมื่อครู่นี้มีเรื่องทำให้ล่าช้าออกไป ข้าเลยกลับมาช้า” มู่ซืออวี่พูดอย่างสบาย ๆ “ส่วนลู่อี้ยังวุ่นอยู่ วันนี้ไม่กลับมาแล้ว”
ทันทีที่รถม้าหยุดลง เสียงของลู่เซวียนก็ดังขึ้นมา “พี่ชายข้ายังไม่กลับมาหรือ? เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียว ไม่รู้จักกลับมาให้เร็วเสียหน่อย ดึกดื่นมืดค่ำแล้ว หากตกลงไปในคูน้ำคงไม่มีผู้ใดพบเห็นกระมัง”
“เฮอะ เจ้าสิตกลงไปในคูน้ำ” มู่ซืออวี่ปล่อยสายบังเหียนม้าลง “อวิ๋นเอ๋อร์ มาเอาหญ้าให้ม้ากินหน่อย”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นนำฟางที่เตรียมไว้นานแล้วไปให้ม้ากิน เมื่อเห็นม้าเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างเอร็ดอร่อยจึงลูบขนมันพร้อมบอกมันด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าต้องรีบแข็งแรงขึ้น แล้วดูแลแม่ข้าให้ดีนะ”
ถงซื่อหัวเราะร่วน “มันจะฟังคำพูดเจ้าเข้าใจหรือ?”
“มันฟังเข้าใจ ท่านดูสิ มันกินอย่างมีความสุขขนาดไหน!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างแข็งขัน “ท่านแม่บอกไว้ว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ พวกเราแค่ดีกับพวกมัน มันก็จะตอบแทนพวกเรา”
“คืนนี้กินอะไร?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา
“ข้าทำของง่าย ๆ ไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกเจ้าหรือไม่” ถงซื่อพูดแล้วก็เหนียมอายขึ้นมา
“อาหารของท่านยายก็อร่อย” ลู่จื่ออวิ๋นพูดขึ้น “เหมือนรสชาติของท่านแม่เลยเจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้อยู่ด้วยกัน ถงซื่อดูมู่ซืออวี่ทำอาหาร จึงแอบจดจำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาบ้าง
เดิมทีนางก็ไม่ได้โง่ บวกกับมีประสบการณ์ทำอาหารมานานหลายปี ขอแค่เพียงไม่ตระหนี่ตอนที่ต้องใช้น้ำมัน เกลือ และเครื่องปรุงรส เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่อร่อย
“หอมจริง ๆ” มู่ซืออวี่ไม่รีรอที่จะเอ่ยชม “ข้ารู้ว่ามอบอวิ๋นเอ๋อร์ให้ท่านแม่ดูแลเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้ากับพ่อของนางจะได้จดจ่อกับงาน”
ถงซื่อยิ้มอย่างขัดเขิน
“จริงสิ วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านมาหาข้า ทั้งยังนำหมูตุ๋นมาให้พวกเราด้วย ข้าจะไปเอาออกมา”
ถงซื่อนำหมูตุ๋นออกมาจากครัว
“หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่ากิจการไม่ค่อยสู้ดีนัก อยากจะฟังความคิดเห็นจากเจ้า”
“ร้านกิจการหมู่บ้านมีคนอยู่มากหรือน้อย?” มู่ซืออวี่คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น
ถงซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยี่สิบสามคน”
“คนมากขนาดนี้เชียว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วขณะเคี้ยวหมูตุ๋น “รสชาติจืดเกินไป ความร้อนไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นตัวส่วนผสมหรือเวลาที่ใช้ในการทำก็ยังไม่ได้ตามที่กำหนด รสชาติจะยอดเยี่ยมได้อย่างไร?”
“นี่เป็นร้านกิจการภายในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนอยากมีส่วน แต่กลับโต้แย้งทะเลาะวิวาทกันทุกวัน” ถงซื่อกล่าวต่อ “ข้าเข้าใจความหมายของหัวหน้าหมู่บ้าน หากดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าร้านกิจการหมู่บ้านจะต้องปิดลง”
“หากต้องการการจัดการที่ดี เช่นนั้นจำต้องเปลี่ยนวิธี” มู่ซืออวี่พูดขึ้นมา “คนงานในร้านไม่อาจเป็นคนในหมู่บ้าน จะต้องหาคนมาจากที่อื่น ถ้าทำได้ไม่ดีก็ไล่ออก ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องสายสัมพันธ์ คนในหมู่บ้านสามารถซื้อเนื้อจากร้านในราคาที่ต่ำที่สุด พวกเขาขายได้มากเท่าไหร่ก็เป็นของพวกเขาเท่านั้น คำนวณรายได้ของร้านกิจการหมู่บ้านทุก ๆ ครึ่งปี จากนั้นปันผลให้แต่ละครัวเรือนตามข้อตกลงเดิม”
“เยี่ยม” เสียงชื่นชมดังมาจากลานบ้าน
มู่ซืออวี่และถงซื่อมองหน้ากันและกัน ก่อนจะออกไปต้อนรับ
“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านมาได้อย่างไร?”
“ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็เลยมาดูสักหน่อย ได้ยินความคิดของเจ้าเข้าพอดี” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
ลู่จื่ออวิ๋นนำเก้าอี้เล็ก ๆ ออกมา “ท่านปู่เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
“เป็นเด็กดีจริงเชียว” หัวหน้าหมู่บ้านลูบผมลู่จื่ออวิ๋น “แม่นางน้อยผู้นี้สูงขึ้นกว่าเดิมหรือนี่?”
“สูงขึ้นจริง ๆ ยังมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นอีกด้วย” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “พวกท่านเลี้ยงได้ดีจริง ๆ! ดูสิว่าอวิ๋นเอ๋อร์น้อยยิ่งโตยิ่งงดงาม ช่างน่ารักจริง ๆ”
“เชิญนั่ง ๆ” ถงซื่อย้ายเก้าอี้มาให้ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านนั่งลง
“แม่อวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งกลับมา คงยังไม่ได้กินข้าวกระมัง” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย “ข้าบอกตาเฒ่าแล้วว่าค่อยมาทีหลัง เขาบอกว่าหากมาทีหลังก็กลัวว่าเจ้าจะหลับไปเสียก่อน พรุ่งนี้เจ้าก็ออกไปแต่เช้าตรู่อีก จะต้องมาตอนนี้ให้ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือข้ามามากมาย หากมีเรื่องอะไรที่ข้าช่วยได้ พวกท่านเพียงบอกข้าก็พอ”
หัวหน้าหมู่บ้านเล่าถึงความยุ่งยากวุ่นวายของกิจการหมู่บ้าน
มู่ซืออวี่ฟังอยู่เงียบ ๆ
ถงซื่อได้ยินเสียงในครัวจึงเข้าไปดู เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังนำอาหารกลับเข้าไปในกระทะเพื่ออุ่น
ลู่จื่ออวิ๋นตัวเล็กเกินไป ความสูงไม่ถึงโต๊ะ นางจึงยกก้อนหินมาแล้วเหยียบขึ้นไป จากนั้นก็ยืดแขนออกไปอย่างยากลำบาก ถงซื่อจึงรีบเข้าไปช่วย
“ขอบคุณท่านยาย”
“อวิ๋นเอ๋อร์ ในหัวน้อย ๆ ของเจ้ามีอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดจึงคิดได้ถี่ถ้วนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก?”
“อวิ๋นเอ๋อร์ปกติไม่ได้ทำอะไร เป็นได้แค่ลูกมือช่วยเท่านั้น ท่านยายทั้งต้องตักน้ำทั้งต้องตัดฟืน ลำบากหนักหนาทุกวัน”
ถงซื่อมองลู่จื่ออวิ๋นที่น่ารักใคร่เอ็นดู หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมา
หัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากไป มู่ซืออวี่จึงได้เอาอาหารร้อน ๆ เข้าปาก
ลู่เซวียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้กลับมาสองวัน ยังไม่เห็นทางบ้านใหม่ หาเวลาไปดูบ้านใหม่บ้าง หากมีตรงไหนไม่ถูกใจจะได้ปรับเปลี่ยนได้”
“พรุ่งนี้ก็ยุ่งอีกวัน มะรืนงานที่บ้านก็จะเสร็จแล้ว” มู่ซืออวี่บอก “เจ้าไปเยี่ยมชมแล้วหรือยัง? รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่เข้าใจ ดูไปก็ไม่ได้อะไร” ลู่เซวียนลูบใบหน้าของตัวเอง
“หมู่นี้ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อย่าได้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ออกไปเดินเล่นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากจะออกไปหางานทำหรือไม่?”
“ข้าหรือ? งานอะไร?” ตอนนี้เขาเขียนบทละครพื้นเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้ ความมืดมนที่เคยปกคลุมทั่วทั้งตัวค่อย ๆ จางลง เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นแล้ว
แต่หากเอ่ยถึงการออกไปหางาน เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริง ๆ
“หมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ใช่ว่ามีสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าไปสอนหนังสือที่นั่นได้”
แววตาของลู่เซวียนทอประกายขึ้นมา แต่ไม่นานก็เหือดหายไป ราวกับไม่เคยมีมาก่อน
“ข้าทำได้ด้วยหรือ?”
“เจ้ากับพี่ชายของเจ้าเล่าเรียนหนังสือหนังหามาหลายปีเช่นนี้ ตอนนี้จะมาถามข้าว่าได้หรือไม่ได้งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “น้องสามี นี่ไม่ใช่นิสัยของเจ้าเลย!”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร? การสอนเป็นการให้ความรู้คนอื่น เกี่ยวพันถึงอนาคตของผู้อื่น” ลู่เซวียนกล่าว “ตัวข้าเองยังไม่ได้สอบขุนนาง ผู้ใดจะรู้ว่าจะสามารถสอนผู้อื่นได้ดีหรือไม่?”
“น้องสามี เชื่อข้าเถอะ” มู่ซืออวี่มองเขาอย่างจริงจัง “แรงเกลียดชังข้าในใจเจ้า ถ้าเจ้าใช้มันในการสั่งสอน จะต้องเป็นอาจารย์ที่มีความรับผิดชอบสูงมากแน่ ๆ”
ลู่เซวียน “…”
ต้องขอบคุณการให้กำลังใจของนางจริง ๆ
“จริงสิ เล่มที่สามเขียนเสร็จแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ยปาก “เจ้ากล่าวได้ถูก ข้าไม่อาจอยู่แต่ในบ้านตลอดไปได้ พรุ่งนี้ข้าเข้าเมืองพร้อมเจ้าได้หรือไม่?”
“ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะเรียกเจ้า เจ้าจะได้พบกับผู้ตรวจหนังสือฟางพอดี”