สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 150 เจ้าแอบบอกข้าก็ได้
บทที่ 150 เจ้าแอบบอกข้าก็ได้
บทที่ 150 เจ้าแอบบอกข้าก็ได้
เมื่อรถม้าแล่นมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ทุกคนก็เพิ่งกลับมาจากทำไร่ไถนา
“ดูเขาใช้ชีวิตทุกวันนี้สิ แล้วหันกลับมามองพวกเรา…”
“พวกเราเคยทำอะไรให้เป็นต้นไม้เขย่าเงิน*[1] หรือไร อย่าไปคิดมากเลย”
“เมื่อก่อนลู่อี้ยังไม่ลงรอยกับนังหนูบ้านมู่อยู่เลย ดูทุกวันนี้สิ เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ พูดตามความเป็นจริงแล้ว นังหนูบ้านมู่เป็นสตรีนำโชคลาภมาให้สามีจริง ๆ”
“สตรีนำโชครึ? ก่อนหน้านี้ครอบครัวนั้นลำบากยากแค้นเพียงใด พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ? หากเป็นสตรีนำโชคจริง เหตุใดถึงไม่มั่งคั่งตั้งแต่ปีแรก ๆ เล่า?”
พวกผู้ชายเดิมทีกำลังทอดถอนใจให้กับความโชคดีของลู่อี้ ทันทีที่ผู้หญิงเข้ามาร่วมวงในหัวข้อนี้ บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้ชายเห็นเช่นนี้จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน เลิกพูดคุยกัน
ในตอนที่พวกผู้หญิงเอ่ยถึงครอบครัวลู่ก็ล้วนมีแต่ความหวานอมขมกลืน โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงมู่ซืออวี่ บนใบหน้าขาดแค่ไม่ได้เขียนคำว่า ‘อิจฉา’ ลงไปเท่านั้น
ลู่อี้ในตอนนี้อนาคตมีแต่จะรุ่งโรจน์ ได้เป็นถึงเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการ ถึงแม้จะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ แต่ในสายตาของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเหล่านี้ นั่นเป็นการพบนายอำเภอทุกวัน เทียบกับพวกเขาแล้วย่อมมีอำนาจกว่านัก
ในไม่ช้ารถม้าก็มาถึงนอกลานบ้านของถงซื่อ
“ท่านพี่!”
เสียงหวานเจื้อยแจ้วของลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น
นางโผเข้ามาราวกับนกตัวน้อย
ลู่อี้รีบดึงสายบังเหียนไว้ทันที “หยุด!”
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งเข้ามา เรียกท่านพ่อท่านแม่ด้วยเสียงอ่อนหวาน จากนั้นจึงมองที่ม่านอย่างคาดหวัง
ม่านเปิดออก ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากข้างใน
ลู่อี้เอื้อมออกไปอุ้มบุตรชายลงจากรถม้า แต่กลับถูกลู่ฉาวอวี่ปฏิเสธ เด็กชายกระโดดลงจากรถม้าอย่างไม่คล่องเท่าใดนัก
“ท่านพี่”
“น้องพี่”
ลู่จื่ออวิ๋นโผเข้าหาอ้อมกอดของลู่ฉาวอวี่ น้ำตาไหลรินออกมา
มู่ซืออวี่เอื้อมมือออกไปหามู่เจิ้งหาน “เจ้าอยากให้ข้ากอดหรือไม่ น้องชาย”
มู่เจิ้งหาน “…”
เขาหยิบเอาสัมภาระของตัวเอง เดินเข้าไปในบ้านที่อยู่ไม่ไกลออกไป “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
“นี่ข้าถูกรังเกียจหรือ?” มู่ซืออวี่อึ้ง “ข้ายังคิดว่าเขาก็อยากได้อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักเสียอีก”
ลู่เซวียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดว่าทุกคนหนังหนาอย่างเจ้าหรือ?”
ถงซื่อมองมู่เจิ้งหานที่อยู่ข้างหน้าอย่างดีอกดีใจ “ผอมไปหมดแล้ว แต่ผิวขาวขึ้น สูงขึ้นหน่อย ๆ ด้วย”
“ท่านแม่ ท่านอยู่บ้านสุขสบายดีหรือไม่?”
หากกล่าวถึงคนที่มู่เจิ้งหานอดห่วงไม่ได้ ย่อมไม่มีใครนอกจากถงซื่อ ถึงแม้จะรู้ว่าพี่สาวและพี่เขยดูแลนางได้ แต่ถ้าไม่เห็นกับตาเขาก็ไม่วางใจ
“แม่สบายดี ข้างนอกอากาศหนาว รีบเข้ามานั่งข้างในเถอะ”
ถงซื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบมู่เจิ้งหาน
ลู่จื่ออวิ๋นพาลู่ฉาวอวี่ไปนั่นมานี่ อย่างแรกคือไปดูเสี่ยวเฮยที่เลี้ยงไว้ จากนั้นก็ไปดูลูกเจี๊ยบที่นางดูแล สุดท้ายไม่มีอะไรให้ดูแล้ว นางจึงถามลู่ฉาวอวี่ว่าไปเรียนสนุกหรือไม่
“อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว ฉาวอวี่ต้องไปเรียน อวิ๋นเอ๋อร์เลยต้องอยู่คนเดียว” มู่ซืออวี่พูดกับลู่อี้ที่แบกฟืนเข้ามา
“ไม่กระมัง” ลู่อี้วางฟืนลงอีกทาง จากนั้นนั่งลงหน้าเตาจุดไฟ “นางอยู่ในหมู่บ้านมีเพื่อนมากมาย ฉาวอวี่ไม่อยู่ นางก็เล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันได้”
“นั่นสินะ”
นับว่าเป็นโอกาสพร้อมหน้าที่หาได้ยาก วันนี้มู่ซืออวี่ไม่ยุ่งมากนัก จึงทำอาหารรสเลิศออกมาหลายอย่าง
เมื่อได้กลิ่นหอมลอยมาจากห้องครัว หัวน้อย ๆ สองสามหัวก็โผล่ขึ้นตรงหน้าต่าง
ลู่ฉาวอวี่ไม่อยากทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ แต่ลู่จื่ออวิ๋นและมู่เจิ้งหานจับแขนเขาไว้คนละข้าง ทำให้เขาผละจากไปไม่ได้
“ท่านน้า ที่สำนักมีแม่ครัวที่เก่งกาจเท่าท่านแม่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นถามขึ้น
“ไม่มี” มู่เจิ้นหานส่ายหน้า “แต่ข้าไม่เลือกกิน แค่มีอาหารให้กินก็ดีแล้ว”
มู่ซืออวี่ถืออาหารออกมา เมื่อเห็นหัวน้อย ๆ สองสามหัวกำลังมองไปมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เตรียมตะเกียบเถอะ! กินได้แล้ว”
ฝีมือในการทำอาหารของมู่ซืออวี่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน จานเกลี้ยง ๆ เช่นนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้ว
“ฉาวอวี่ พวกเจ้าได้กินของอร่อยหรือไม่?” ถงซื่อมองเด็กทั้งสองอย่างปวดใจ
ลู่ฉาวอวี่ตอบเบา ๆ ว่า “สำนักเป็นสถานที่เล่าเรียน ไม่ใช่สถานที่ให้กินดีอยู่ดี ท่านยายไม่ต้องห่วงเรา ข้าคิดว่าตอนนี้ก็ดีแล้ว”
“ใช่แล้ว ฉาวอวี่และข้าอยู่ที่นั่นสบายดี ท่านอาจารย์ก็ดีมากเช่นกัน พวกเรากินอะไร ท่านอาจารย์ก็กินเหมือนกัน” มู่เจิ้งหานกล่าว “ท่านแม่ ข้าเขียนอักษรได้หลายตัวแล้ว ต่อไปข้าจะสอนท่านเขียนชื่อของท่าน”
“ดี ๆ” ถงซื่อยิ้มอย่างมีความสุข
“ข้ามีข่าวดีจะแจ้งทุกคน” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เกี่ยวกับนายท่านลู่ของพวกเรา เจ้าจะบอกเองหรือให้ข้าบอก?”
“เจ้าบอกเถิด” ลู่อี้พูดนิ่ง ๆ
“เช่นนั้นก็ได้ ข่าวดีก็คือนายท่านลู่ของพวกเราได้เลื่อนขั้นแล้ว ตอนนี้เป็นท่านจู่ปู้แล้ว” มู่ซืออวี่กางแขนออกกว้าง ปลุกเร้าบรรยากาศทุกคน “ทั้งตกใจทั้งดีใจใช่หรือไม่ ประหลาดใจใช่ไหมล่ะ?”
ลู่เซวียนรู้อยู่ก่อนแล้วจึงสงบมาก
เด็ก ๆ ไม่รู้ว่าจู่ปู้คืออะไร ยังไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด
ถงซื่อก็ไม่รู้ว่าจู่ปู้คืออะไร แต่ก็จับคำสำคัญอย่าง ‘เลื่อนขั้น’ ได้
นางมองลู่อี้ด้วยความตกใจระคนดีใจ “ลูกเขย เจ้าได้เลื่อนขั้นหรือ?”
“ขอรับ” ลู่อี้กล่าวว่า “ใต้เท้าฉินให้ความสำคัญกับข้า ภายหน้าข้าอาจจะยุ่งขึ้น เรื่องที่บ้านต้องรบกวนท่านแม่ยายดูแลแล้ว”
“ไม่ยุ่งยากเลย นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” สายตาของนางเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
…
ค่ำคืนอันเงียบสงัด
มู่ซืออวี่ยื่นผ้าผืนหนึ่งให้ลู่อี้ เพื่อให้เขาเช็ดผมตัวเอง
ลู่อี้รับมาแล้วถามว่า “เหตุใดยังไม่พักผ่อน?”
“ท่านเตรียมการให้แม่นางเย่ผู้นั้นอย่างไรหรือ?”
ลู่อี้คาดเดาได้นานแล้วว่านางมีเรื่องจะพูด แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้
“เจ้ารู้แค่ว่าข้าจัดการเป็นอย่างดีก็พอแล้ว”
ส่วนรายละเอียดนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ เขาไม่อยากให้นางเกลียดตน
มู่ซืออวี่ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาจะต้องมี ‘แผนการร้าย’ เป็นแน่
‘แผนการร้าย’ เช่นนี้ จริง ๆ แล้วนางชอบ เพราะอย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ไร้เดียงสา ไม่จำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจผู้ชายสารเลวเช่นนั้น
“ท่านแอบบอกข้าเงียบ ๆ ก็ได้ ข้าจะไม่บอกคนอื่น” มู่ซืออวี่เอียงตัวเข้าไปใกล้ ๆ แล้วนวดไหล่เขา “นายท่านลู่ บอกมาเถอะน่า”
ลู่อี้กระแอมเบา ๆ “ไม้นี้ใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก”
“ไม่ได้ผล? เช่นนั้นเหตุใดหูท่านถึงแดงเล่า?” มู่ซืออวี่สัมผัสใบหูของเขา
ลู่อี้จับมือที่อยู่ไม่สุขของนางเอาไว้ พลอยทำให้มู่ซืออวี่รู้สึกราวกับมีกระแสไฟแล่นผ่าน
นางถอนมือออกมาแล้วพึมพำ “ขี้เหนียว ไม่พูดก็แล้วไปเถอะ”
ลู่อี้หันไปมองนาง “เจ้าโกรธหรือ?”
“ไม่ได้โกรธ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพัก” มู่ซืออวี่นอนลงบนเตียงพลางหันหลังให้เขา
ลู่อี้ตามไปที่เตียง กุมหัวไหล่ของนางเบา ๆ “สกุลโหยวเป็นสกุลคนร่ำรวยของที่นี่ เป็นผู้เชี่ยวชาญในกิจการผ้าไหม ในเมืองนั้นสกุลโหยวเป็นขุนนางขั้นสี่ แม้แต่นายอำเภอของเราก็ไม่กล้าล่วงเกิน หากจะจัดการเขา วิธีธรรมดาย่อมใช้ไม่ได้ เรื่องวันนี้หากไปถึงนายอำเภอ เขาก็จะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งเช่นกัน เช่นนี้แล้ว…”
ในโลกนี้ไม่เคยมี ‘ขาว’ สนิท บางครั้งทำตัว ‘ดำ’ บ้างก็สามารถบรรลุจุดประสงค์ของตนได้เช่นกัน
“ข้าไม่ถามแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้เจ้าได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น ย่อมต้องแบกรับความผิดชอบใหญ่หลวง เจ้าจะต้องระวังตัวเสมอ สร้างสหายให้มากหน่อย สร้างศัตรูให้น้อยลงด้วยล่ะ”
“ได้” ลู่อี้นอนลง สายตาทอดมองแผ่นหลังของนาง
[1] ต้นไม้เขย่าเงิน หมายถึง คนที่มีเงินทอง