สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 157 ข้ารู้ว่าเป็นท่าน
บทที่ 157 ข้ารู้ว่าเป็นท่าน
บทที่ 157 ข้ารู้ว่าเป็นท่าน
“ได้ยินพวกเขาพูดว่าสองสามวันมานี้มีการตรวจสอบหลี่เจิ้งในหลาย ๆ ท้องที่ หลี่เจิ้งหลายคนถูกปลดออก บางคนถูกขังคุก จริงหรือไม่?”
มู่ซืออวี่หยุดมือแล้วนั่งลงตรงข้ามเขา
“ใช่” ลู่อี้กล่าว “นี่เป็นเจตนาของใต้เท้านายอำเภอ หลี่เจิ้งใกล้ชิดกับราษฎรมากที่สุด หากคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้ไม่ปฏิบัติต่อราษฎรทุกคนอย่างเท่าเทียม คงมีราษฎรไม่น้อยที่ได้รับความไม่เป็นธรรม”
“เจตนาของใต้เท้านายอำเภอหรือ?”
“ใช่แล้ว”
“ข้ายังคิดว่า….” มู่ซืออวี่ลุกขึ้น “ช่างเถอะ ท่านไปอาบน้ำเถอะ”
ลู่อี้คว้าแขนของนางไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึกอัก “ถึงแม้จะเป็นเจตนาของใต้เท้า แต่… ข้าเป็นคนออกความเห็น”
มู่ซืออวี่หันหน้ามาในทันใด มองชายที่กำลังขัดเขินอยู่ตรงหน้ายิ้ม ๆ
“ข้ารู้ว่าเป็นท่าน”
ลู่อี้รู้สึกเพียงแค่สายตาคู่นั้นร้อนรุ่ม ราวกับกำลังแผดเผาทั่วทั้งร่างของเขา
“ข้าจะไปอาบน้ำ”
วันนี้ลู่อี้อาบน้ำนานกว่าที่เคย มู่ซืออวี่ที่กำลังจัดเตียงอดเป็นห่วงไม่ได้
“คงไม่เป็นอะไรนะ หรือว่าเขาจะเหนื่อยเกินไปจนหลับไปในห้องน้ำแล้ว”
เพิ่งเอ่ยถึง ลู่อี้ก็เดินเข้ามา นางจึงเอ่ยถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” ลู่อี้ส่งผ้าในมือให้นาง “ช่วยข้าเช็ดผมได้หรือไม่?”
มู่ซืออวี่รับมาอย่างเป็นธรรมชาติ นางให้เขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มเช็ดผมให้เขา
“ช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“ท่านมีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าขนาดนี้ ยังจะไม่รู้อีกหรือ?”
“เจ้าหมายถึงเรื่องที่เอ้อร์โก่วรังแกอวิ๋นเอ๋อร์แต่กลับโดนฉาวอวี่เอาคืนหรือ? เมื่อวานซืนตอนที่กลับมา ข้าพบต้าจู้ เขาบอกข้าว่าข้าไม่อยู่บ้าน เรื่องเหล่านี้เจ้าล้วนต้องจัดการ ลำบากเจ้าแล้ว”
“ไม่เลย ท่านไม่อยู่ที่บ้าน แต่ท่านกลับทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าข้า ใต้เท้าลู่ ท่านทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ราวกับข้าได้กอดต้นขาใหญ่ ๆ เอาไว้เลยล่ะ”
ในตอนที่มู่ซืออวี่วาดแขนของนางขึ้น เนื้ออ่อนนุ่มตรงเอวของนางก็เผยออกมา เอวบางเหมาะมือเอี้ยวไปมาในครรลองสายตา
ลู่อี้รีบเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว
แต่ภาพก็ยังผุดขึ้นในหัวของเขา
“ช่วงนี้เจ้าผอมลงหรือ?” ลู่อี้ถาม “หรือเจ้ากินข้าวไม่ถูกปาก”
“ข้าผอมลงอีกแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ลูบคลำเอวของตัวเอง “ดูเหมือนจะผอมลงไปเล็กน้อย ระยะนี้ที่ทำงานหนัก ไม่เพียงแต่จะหาเงินได้เท่านั้น แต่ข้ายังผอมลงด้วย”
“พรุ่งนี้ข้าหยุดพักผ่อน หากที่บ้านมีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการ แค่เรียกข้าก็พอ”
“ท่านน่ะหรือจะหยุดพักผ่อน?”
หลังจากดับตะเกียงน้ำมันแล้วก็ขึ้นเตียงไป มู่ซืออวี่ที่เหน็ดเหนื่อยเกินไปก็ล้มตัวลงนอน หลับไปทันที
ลู่อี้มองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปสัมผัสแผ่วเบาด้วยแววตาอ่อนโยน
เป็นคืนที่ฝันดีอีกคืน…
….
มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนชนเข้ากับบางสิ่ง หน้าผากของนางเจ็บแปลบ
ตอนที่นางลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นกลับเป็นแผงอกหนั่นแน่น
ร่างกายนางแข็งทื่อไปทันที
เหตุใดนางจึงหลับอยู่ในอ้อมแขนของลู่อี้ ยิ่งไปกว่านั้น บนอกของลู่อี้ยังมีน้ำ หรือจะเป็นน้ำลายของนางกัน?
น่าอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีครั้งใหญ่จริง ๆ
เขาคง… ยังไม่ตื่นกระมัง?
นางค่อย ๆ กระเถิบถอยหลังไปทีละนิด
ทว่าจู่ ๆ ลำแขนยาวก็โอบรอบตัวนาง แล้วกระชับนางเข้ามาในอ้อมแขน แก้มของนางแนบสนิทกับแผ่นอกของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“หากเจ้ายังขยับไปไกลกว่านี้ เจ้าก็จะตกแล้ว” เสียงแหบพร่าของลู่อี้ดังขึ้น
ขาของมู่ซืออวี่ถูกลู่อี้ทับไว้ แขนของนางก็อยู่บนเอวของเขา ลมหายใจของลู่อี้ถี่กระชั้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาหลับตาลงแล้วปล่อยนาง “ไม่ต้องถอยแล้ว ค่อย ๆ ลุกขึ้น”
แขนขาของมู่ซืออวี่เป็นอิสระแล้ว ตอนที่ลู่อี้ขยับเข้าไปข้างใน นางก็ขยับเข้าไปด้วย จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าอยู่ที่ขอบเตียงจริง ๆ เมื่อครู่นี้นางไม่ได้สังเกต เกือบจะตกลงไปแล้วสิ
“หรือว่าเมื่อคืนข้าอยู่อย่างนี้ทั้งคืน?” มู่ซืออวี่รู้สึกอับอายขึ้นมา
“อืม เจ้าชอบกลิ้งไปอยู่ขอบเตียง ข้ากลัวเจ้าจะตกลงไปจึงต้องกอดเจ้าไว้จะได้ไม่ตก” ลู่อี้เอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน “ข้าอยากหลับต่ออีกหน่อย”
“เช่นนั้นเจ้ารีบนอนเถอะ”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นจากเตียงทันที
ทว่าหลังจากซวนเซไปหนึ่งครั้ง นางก็ถลาล้มลงไปข้างหน้า
“อ๊ะ!”
นางปิดตาลงอย่างยอมจำนนต่อชะตา
ความเจ็บที่คาดไว้กลับไม่เกิดขึ้น แขนข้างหนึ่งโอบรอบตัวนางไว้เสียก่อน
ทว่าฝ่ามือใหญ่โตกลับกอบกุมซาลาเปาของนางไว้แน่น
นางมองลงไปยังมือใหญ่โตของเขา แก้มร้อนผ่าวประหนึ่งกำลังจะลุกเป็นไฟ
ทันทีที่ยืนได้อย่างมั่นคง นางก็รีบดึงมือของเขาออกแล้ววิ่งหนีไป
ลู่อี้พลิกมือไปมา ก่อนจะนวดขมับของตัวเอง รู้สึกปวดหัวขึ้นมากกว่าเดิม
ถงซื่อเห็นมู่ซืออวี่วิ่งออกมาจึงถามอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไร? เจ้าคงไม่ได้จับไข้ใช่หรือไม่? เหตุใดหน้าจึงแดงก่ำเพียงนั้น?”
“ข้า… ข้า… ข้าจะไปทำอาหารเช้า”
“วันนี้รถม้ายังอยู่ที่บ้าน ลูกเขยไม่ได้ไปทำงานหรือ?” ถงซื่อเดินเข้ามาช่วย
“เขาหยุดพักผ่อน”
“อ้อ” ถงซื่อนึกถึงท่าทีผิดปกติของมู่ซืออวี่เมื่อครู่นี้ ทันใดนั้นก็ราวกับเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
“ท่านแม่ ท่านอย่าคิดเกินเลย พวกเราไม่ได้ทำอะไร” มู่ซืออวี่รีบอธิบาย
“พวกเจ้าเป็นสามีภรรยา มีอะไรน่าอายกัน?” ถงซื่อกล่าว “ข้าจะไปดูอวิ๋นเอ๋อร์ เสื้อผ้าของนางเอาไปซักแล้ว ข้าจะหาชุดอื่นให้นาง”
มู่ซืออวี่มองเปลวไฟที่อยู่ในเตา ดูเหมือนเปลวไฟนั้นจะสะท้อนใบหน้าของลู่อี้ออกมา
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูเหมือนจะจางลงไปมากแล้ว ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็น เนื่องจากตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปล่าสัตว์บนภูเขาแล้ว ผิวของเขาจึงเนียนละเอียดขึ้นกว่าเดิม พอใส่เครื่องแบบของทางการ มองดูแล้วยังนึกว่าเป็นคุณชายจากสกุลไหนเสียอีก
“ท่านพ่อทำให้ท่านโมโหหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นโผล่ขึ้นข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เด็กหญิงตัวน้อยย้ายเก้าอี้เล็ก ๆ มาแล้วนั่งลง ใบหน้าเล็กน่ารักกำลังเท้าคางมองมาด้วยความสงสัย
มู่ซืออวี่รู้สึกผิด “ไม่ใช่ พ่อเจ้าดีขนาดนั้น จะทำให้ข้าโมโหได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นตบหน้าอกตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าชอบท่านพ่อ แล้วก็ชอบท่านแม่เช่นกัน ข้าไม่อยากให้พวกท่านทะเลาะกัน ถ้าพวกท่านทะเลาะกัน ข้าจะเสียใจมาก ๆ”
มู่ซืออวี่นิ่งเงียบ
เช่นนั้นหากวันหนึ่งนางอยากไปจากลู่อี้ อวิ๋นเอ๋อร์จะทนได้หรือ?
ในที่สุดอวิ๋นเอ๋อร์ก็กลับมาไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวาเหมือนกับเด็กน้อยธรรมดาทั่วไป นางไม่อยากให้ชีวิตของเด็กคนนี้ต้องตกสู่ความมืดหม่น
“ท่านแม่ ท่านเหม่ออีกแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นโบกมือเล็ก ๆ ของนางตรงหน้ามู่ซืออวี่
“เจ้าไปเอาผ้าผูกผมมา แม่จะช่วยเจ้าหวีผม”
ลู่อี้หันไปด้านข้าง หน้าต่างอยู่ตรงกับลานบ้านพอดี สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาเป็นภาพอันอบอุ่นที่มู่ซืออวี่กำลังหวีผมให้ลู่จื่ออวิ๋น
ประกายแสงสีทองยามเช้าส่องลงไปยังคู่มารดาและลูกสาว ใบหน้าของมู่ซืออวี่งดงามราวกับดอกกล้วยไม้ ส่วนอวิ๋นเอ๋อร์ก็ดูราวกับเทพธิดาตัวน้อย
มีภรรยาแสนสวยและลูก ๆ อยู่ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
“คิกคิก” อวิ๋นเอ๋อร์หลบหลีกมือของมู่ซืออวี่ “จั๊กจี้ ท่านแม่ ข้าจั๊กจี้….”
มู่ซืออวี่ตั้งใจจะแกล้งหยอกล้อลู่จื่ออวิ๋น ทว่าสุดท้ายก็กอดเด็กน้อยไว้แล้วหัวเราะ
“เอาล่ะ รีบไปเรียกเจ้าคนขี้เกียจตัวใหญ่นั่นลุกมากินข้าวเร็วเข้า”
“ได้ ข้าจะไปปลุกท่านพ่อที่แสนขี้เกียจ”
ลู่อี้สวมชุดธรรมดา ๆ แต่คนที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการมักแผ่กลิ่นอายงามสง่ากดดัน ต่างจากกลิ่นอายสังหารที่เคยมีตอนออกล่าสัตว์อย่างสิ้นเชิง
เขาหยิบแป้งทอดชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นใช้ตะเกียบคีบเครื่องเคียง ห่อแล้วส่งให้มู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้าทำเองก็ได้”
“เจ้าคอยดูแลข้ามาเสมอ ข้าก็อยากดูแลเจ้าเช่นกัน ชิมดูสิว่าข้าห่อได้ดีเพียงใด” ลู่อี้มองนางด้วยสายตาร้อนรุ่ม
มู่ซืออวี่ “…”
นางเป็นคนทอดแป้งทอดนี้ เครื่องเคียงก็เป็นนางที่เตรียม เขาคิดว่าห่อมันแล้วจะเปลี่ยนรสชาติได้อย่างนั้นหรือ?
“ขอบคุณ” นางก้มหน้าลงเคี้ยว หลบเลี่ยงสายตาของเขา