สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 160 ข้าไม่แต่งกับนาง
บทที่ 160 ข้าไม่แต่งกับนาง
บทที่ 160 ข้าไม่แต่งกับนาง
“หวังหมาจื่อ พวกข้าไม่สนใจเหตุผลของเจ้า เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
“ยังจะทำอะไรได้อีก? อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์” หวังหมาจื่อยืดคอ เอ่ยด้วยความมั่นใจ
“สารเลว!” หัวหน้าหมู่บ้านคว้าไม้แถว ๆ นั้นขึ้นมาตีหวังหมาจื่อ
“หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเอ่ยตามจริง นางไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ ข้าไม่รู้ว่าในท้องของนางเป็นเมล็ดพันธุ์ของผู้ใด คงไม่อาจแต่งกับนางได้กระมัง?”
หวังหมาจื่อพูดพลางวิ่งหนีหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ในลานบ้าน
แต่เขาเพิ่งถูกมู่ต้าไห่และแม่เฒ่าเจียงทุบตีมา ร่างกายยังมีบาดแผล จะเป็นคู่ต่อกรหัวหน้าหมู่บ้านที่สภาพสมบูรณ์ได้อย่างไร
ไม่นานเขาก็ถูกหัวหน้าหมู่บ้านจับได้ จากนั้นเขาก็ถูกหัวหน้าหมู่บ้านใช้ไม้ตีสองที
หัวหน้าหมู่บ้านคิดคำนวณแล้ว หลังจากตีระบายความโกรธไปสองรอบก็โยนไม้ในมือทิ้ง
เขาหันกลับไปมองมู่ซือเจียว “นังหนูเจียว เจ้าว่ามา เจ้าอยากทำอย่างไร?”
มู่ซือเจียวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าจะไม่แต่งงานกับเขาเป็นอันขาด”
“เจ้าไม่แต่งงาน แต่ทำเรื่องเช่นนี้กับเขา?” หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียงหัวเราะ “วันนี้ข้าขอพูดเรื่องไม่น่าฟังตรงนี้ หมู่บ้านของเราปล่อยคนเช่นนี้ไปไม่ได้ หากพวกเจ้าไม่ไปขลุกอยู่ในเล้าหมูก็ต้องแต่งงาน”
“เจิ้งอี้บ้านมู่กลับมาแล้ว” ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกตะโกนขึ้นมา
“เจิ้งอี้” แม่เฒ่าเจียงได้ยินว่าลูกชายคนสุดท้องของนางกลับมาแล้วก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “เจิ้งอี้อยู่ที่ใด?”
เสียงรถม้าดังขึ้นจากข้างนอก ตามมาด้วยมู่เจิ้งอี้ในชุดไหมปักลายที่เดินเข้ามา
มู่เจิ้งอี้เห็นภาพอีนุงตุงนังในลานบ้านแล้วก็ขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เจิ้งอี้!” แม่เฒ่าเจียงร้องออกมาเสียงดัง “เจ้ากลับมาแล้ว หากเจ้ายังไม่กลับมา เกรงว่าจะไม่ได้เห็นแม่เป็นครั้งสุดท้ายเสียแล้ว”
มู่เจิ้งอี้พยุงแม่เฒ่าเจียง “ท่านแม่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“มู่ซือเจียวนังเด็กหน้าไม่อายนั่น นางไปลอบพบกับหวังหมาจื่อ ตอนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขา ทั้งยังกล่าวว่าจะไม่แต่งงานกับเขา เจ้าว่านางน่าอับอายขายขี้หน้าหรือไม่?” แม่เฒ่าเจียงชี้หน้ามู่ซือเจียว ด่าสาดเสียเทเสีย
“หวังหมาจื่อนั่นมีค่าอะไร ยังคิดจะแต่งงานกับนังหนูเจียวอีกหรือ ให้พวกเขาออกไปก่อนเถอะ เรื่องบ้านเราไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเป็นห่วง”
มู่เจิ้งอี้มีผิวขาวละเอียด แตกต่างจากชาวบ้านในหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง ทุกคนคิดว่าในตอนแรกที่มู่เจิ้งอี้เพิ่งไปเป็นคนรับใช้ที่สกุลหวัง ไม่ได้แตกต่างจากชายหนุ่มชาวไร่ชาวสวนธรรมดาคนอื่น ๆ แต่แค่เพียงไม่กี่ปี กลับมีกลิ่นอายของคุณชายจากตระกูลสูงส่งแล้ว
“เจิ้งอี้ เจ้าจะจัดการด้วยตนเองหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม “เจ้าคิดให้ดี หากจัดการได้ไม่เหมาะสม เจ้าจะเสียหน้าต่อคนทั้งหมู่บ้าน”
“ข้ามีการเตรียมการของข้า” มู่เจิ้งอี้เอ่ยขึ้น “หัวหน้าหมู่บ้านจงวางใจ”
“เช่นนั้นก็ได้” หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยากยุ่งเรื่องของผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ผู้ใดเกี่ยวพันจะโชคร้ายเปล่า ๆ
ความเงียบเข้าปกคลุมลานบ้านทันที
มู่เจิ้งอี้มองหวังหมาจื่อ “ยังไม่ไสหัวไปอีก!”
หวังหมาจื่อยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “จะไปเดี๋ยวนี้ ๆ”
กล่าวจบก็เหลือบมองมู่ซือเจียวอย่างหื่นกระหาย
ถึงแม้เขาจะไม่อยากแต่งงานกับมู่ซือเจียว แต่หญิงนางนี้รสชาติดีไม่น้อย หากสามารถนัดหมายกันได้ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังพอตื่นเต้นเร้าใจ
มู่เจิ้งอี้หรี่ตาลง “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น หากข้าได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่ได้”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องอะไรล้วนไม่เคยเกิดขึ้น ขอให้ท่านวางใจ” หวังหมาจื่อตื่นตระหนก รีบวิ่งหนีไปทันที
แม่เฒ่าเจียงด่ากราด “เจิ้งอี้ เหตุใดไม่ให้นังสารเลวคนนี้แต่งงานกับหวังหมาจื่อให้จบ ๆ ไป?”
“คนเช่นนั้นไม่คู่ควร” หลังจากมู่เจิ้งอี้เอ่ยจบ ก็หันไปมองมู่ต้าไห่ “เดิมทีข้ากลับมาครานี้ก็เพื่อจัดเตรียมสถานที่ดี ๆ ให้เจียวเอ๋อร์อยู่ สุดท้ายพวกท่านกลับลงเอยเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้ว”
“สถานที่ดี ๆ อะไร?” ถังซื่อผู้ที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาเป็นเวลานานถามขึ้น
“จัดการปัญหาตรงหน้าก่อนเถอะ!” มู่เจิ้งอี้ขมวดคิ้ว “เรื่องระหว่างเจียวเอ๋อร์กับหวังหมาจื่อผู้นั้นมีคนกี่มากน้อยที่รู้เห็นเรื่องนี้?”
“อันที่จริงคนที่เห็นไม่มาก คนที่พบคนแรกก็คือแม่นางหวัง นางเป็นคนมาหาข้า ข้าจึงพาพี่เจ้ากับสะใภ้ใหญ่ไปจับมา คนที่มาหลัง ๆ เพียงแค่ได้ยินคำพูดมา” แม่เฒ่าเจียงกล่าว
“ท่านแม่ ท่านเลอะเลือนจริง ๆ พี่ใหญ่ก็เหมือนกัน อย่างไรท่านก็เคยทำกิจการอยู่ในเมือง เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนี้?” มู่เจิ้งอี้ขมวดคิ้ว
แววตาของมู่ต้าไห่ปรากฏความขุ่นเคือง
ในฐานะพี่ใหญ่ เขามีสิทธิ์มีปากมีเสียงอย่างถูกต้องในบ้าน ทว่าตอนนี้เขากลับตกอับ อีกทั้งภายหน้ายังต้องพึ่งพาน้องชายคนนี้ จึงไม่กล้าแตกหักด้วย
“มีเรื่องฉาวโฉ่อยู่ในบ้าน พวกท่านไม่คิดจะปิดบัง ยังเอะอะมะเทิ่งให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้” มู่เจิ้งอี้ไม่พอใจมาก “ช่างเถอะ ตอนนี้ยังมีทางแก้ พวกท่านเข้ามาในบ้านกับข้า พวกเรามาปรึกษาหารือกัน”
มู่ซือเจียวนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับคนโง่งม
คนอื่นเขาเข้าไปในห้องปรึกษาหาวิธีรับมือกัน แต่แววตาของนางว่างเปล่า ประหนึ่งสูญเสียจิตวิญญาณไป
ทันใดนั้น นางก็เดินออกไปข้างนอก
หมู่บ้านที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน สุดท้ายก็เงียบสงบลง เสียงหมาเห่า เสียงไก่ขัน ควันไฟจากห้องครัว ล้วนลงตัวดุจภาพของหมู่บ้านโบราณ
อีกด้านหนึ่ง ลู่จื่ออวิ๋นตามติดหลังมู่ซืออวี่พร้อมกับเสี่ยวเฮย
มู่ซืออวี่เก็บเสื้อผ้า ส่วนลู่จื่ออวิ๋นคอยช่วย เสี่ยวเฮยแกว่งหางไปมาทำหน้าที่ผู้คุ้มกัน กลายเป็นภาพน่าขันแต่ก็อบอุ่น
ลู่อี้กำลังตัดฟืน ท่อนฟืนวางกองไว้ข้าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ
ลู่เซวียนกลับมาจากข้างนอก เอาของที่อยู่ในมือให้มู่ซืออวี่ดู “นี่เป็นผักคาวทองที่เจ้าเอ่ยถึงใช่หรือไม่?”
มู่ซืออวี่เหลือบมอง “ไม่ผิด อันนี้แหละ”
“ข้าจะเอาไปล้าง” ลู่เซวียนเข้าไปในครัว
ถงซื่อขยี้ตาเดินออกมา “เสื้อผ้าของน้องสามีเจ้า ข้าปะชุนเรียบร้อยแล้ว พับไว้บนเตียงของเขาแล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่” มู่ซืออวี่เอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าไม่เก่งงานเย็บปักถักร้อยเช่นนี้ โชคยังดีที่มีท่านแม่”
“ขอบคุณอะไรกัน? ข้าทำได้แค่เรื่องเหล่านี้” ถงซื่อขัดเขิน
ตึง! ตึง!
มีใครบางคนมาเคาะประตูเสียงดัง
ไม่สิ พังประตูเสียมากกว่า ทั้งทุบทั้งถีบ
มู่ซืออวี่งุนงง ขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดประตู กลับถูกลู่อี้ห้ามเอาไว้
ลู่อี้เอ่ยว่า “ข้าไปเอง”
เขากล่าวจบก็โยนฟืนในมือลงแล้วตรงไปเปิดประตู
“ลู่…” เสียงผู้หญิงตะโกนคำว่า ‘ลู่’ ออกมา จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดอีก
ลู่อี้มองมู่ซือเจียวตรงหน้าอย่างเยือกเย็น
มู่ซือเจียวกำลังโมโห แต่เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของลู่อี้ เสียงกลับขาดห้วงด้วยความหวาดกลัว
สายตาช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้!
มันทำให้นางนึกถึงงูพิษขึ้นมา
“มีเรื่องอะไร?” สุ้มเสียงของลู่อี้เย็นชาเป็นพิเศษ
“ลู่…” มู่ซือเจียวเริ่มตัวสั่น “เหตุใด? เหตุใดต้องทำกับข้าเช่นนี้? เพราะเหตุใดกัน?”
นางร้องไห้โฮออกมา
“มีอะไรหรือ?” เสียงของมู่ซืออวี่ดังขึ้นจากด้านหลัง
ลู่อี้หันกลับไปเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่มีอะไร เจ้าไปทำอาหารเช้าก่อน ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
มู่ซืออวี่สงสัย “เหตุใดข้าจึงได้ยินเสียงมู่ซือเจียว?”
“ก็ข้านั่นแหละ!” มู่ซือเจียวแหกปากดังลั่น “มู่ซืออวี่ นังสารเลว–”
เพียะ!
ทว่านางถูกตบเข้าเสียก่อนหนึ่งฉาด
มู่ซือเจียวรู้สึกถึงกลิ่นคาว ทำได้เพียงถ่มเลือดออกมา
ลู่อี้ลดเสียงลง ก่อนจะเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามีวันนี้ได้ต้องโทษตัวเองแล้ว หากเจ้ากล้าเอ่ยคำพูดที่ไม่ควรกับภรรยาของข้า ข้าจะทำให้ชีวิตของเจ้าเหมือนตายทั้งเป็น เข้าใจหรือไม่?”
มู่ซืออวี่เดินออกมา “มู่ซือเจียว เจ้าเป็นบ้าอะไร?”