สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 166 โฉมหน้าที่เปลี่ยนไปของชาวบ้าน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 166 โฉมหน้าที่เปลี่ยนไปของชาวบ้าน
บทที่ 166 โฉมหน้าที่เปลี่ยนไปของชาวบ้าน
บทที่ 166 โฉมหน้าที่เปลี่ยนไปของชาวบ้าน
รถม้าหยุดลง ลู่อี้ลงมาจากรถม้าเป็นคนแรก ตามมาด้วยลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหาน
เด็กชายในหมู่บ้านมองสองสหายที่แต่งตัวราวกับบัณฑิต แต่พวกตนกลับเปื้อนโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะถอยหลังสองสามก้าวด้วยความรู้สึกด้อยกว่า บ้างก็มองดูทั้งสองคนอย่างสงสัยใคร่รู้ บ้างก็มองด้วยความอิจฉา
“เถี่ยโถว” มู่เจิ้งหานเรียกเถี่ยโถว “มานี่เร็ว ข้ามีของให้เจ้า”
เถี่ยโถวค่อนข้างสูง ถึงแม้เขาจะถอยหลังกลับไปก็ไม่อาจซ่อนตัวได้ เขาหัวเราะแหะ ๆ ลูบหัวตัวเอง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางโง่เขลา “ข้าเพิ่งแบกฟืนลงมาจากภูเขา เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว”
“กลัวอะไร? เดี๋ยวข้าก็จะขึ้นเขาไปตัดฟืนเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็ไปด้วยกัน” ขณะที่มู่เจิ้งหานพูด เขาก็นำขนมหวานห่อหนึ่งออกมา “เจ้าชอบกินไม่ใช่หรือ? อาจารย์ให้ข้ามา เจ้าเอาไปแบ่งทุกคนเถอะ”
ดวงตาของเหล่าเด็กน้อยเบิกกว้าง
“ว้าว พี่หาน ท่านใจดีจริง ๆ”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หานจะไม่ดูถูกพวกเรา ดูสิ ข้าพูดไว้ไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“เจ้าคนขี้ประจบ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้”
มู่เจิ้งหานยิ้มอย่างจริงใจ “ทุกคนชอบก็ดีแล้ว อันที่จริงข้าก็ยืมดอกไม้ถวายพระ*[1]”
“ยืมอะไร? คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“พี่หานสมกับที่รู้หนังสือ ข้าฟังไม่เข้าใจสักนิด”
“พี่หาน ตอนนี้ท่านรู้หนังสือแล้ว ยังจะตัดฟืนอีกหรือ!” เอ้อร์โก่วพูดขณะที่กำลังกินขนมหวาน พูดพลางสูดน้ำมูกไปพลาง
“ขอแค่ที่บ้านต้องใช้ เมื่อไหร่ข้าก็ขึ้นเขาไปตัดมาได้ เป็นคนเรียนหนังสือแล้วอย่างไร? พี่เขยข้ายิ่งยอดเยี่ยมกว่า ตอนนี้ยังขึ้นเขาลงเขาอยู่เลย งานอะไรก็ล้วนทำได้”
ได้ยินมู่เจิ้งหานเอ่ยเช่นนี้ เหล่าเด็กชายก็รู้สึกว่าเขาคบหาง่ายขึ้นกว่าเดิม พวกเขาเข้ามารุมล้อมคนแล้วคนเล่า
“พี่หาน อ่านหนังสือดีหรือไม่?”
“ดีสิ หากอ่านให้กระจ่าง ก็จะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ใครก็อย่าคิดมาหลอกเอาเงินจากข้า”
“เยี่ยมไปเลย”
“ข้าก็อยากเรียนหนังสือเช่นกัน แต่บ้านข้าไม่มีเงิน”
“ใช่แล้ว! พี่หาน ท่านโชคดีจริง ๆ”
“พี่สาวข้าและพี่เขยข้าล้วนเป็นคนดี” มู่เจิ้งหานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในภายหน้าหากข้าหาเงินได้แล้ว ข้าจะต้องตอบแทนพวกเขาเป็นสองเท่าแน่นอน”
ลู่อี้เห็นลู่ฉาวอวี่ตามเข้ามา จึงเหลือบมองอีกฝ่าย “เหตุใดไม่ไปพูดคุยกับพวกเขาเล่า?”
“ไม่มีอะไรให้พูด” ลู่ฉาวอวี่มองเข้าไปในลานบ้าน
น้องสาวข้าเล่า? นางไปไหน? เหตุใดไม่อยู่ที่บ้าน?
“ลูกเขย ฉาวอวี่กลับมาแล้วหรือ?” ถงซื่อออกมาจากข้างใน “บ้านสร้างเสร็จแล้ว ลูกอวี่กับอวิ๋นเอ๋อร์อยู่บ้านพวกเจ้ากันหมด”
“บ้านเสร็จแล้วหรือ?” ลู่อี้ถาม
“ใช่แล้ว! เสร็จหมดแล้ว” ถงซื่อกล่าว “ข้ากลับมาเอาผ้า ตอนนี้กำลังจะไปทำความสะอาด”
มู่ซืออวี่ยืนอยู่กลางลานบ้าน มองดูบ้านหลังใหญ่โตใหม่เอี่ยม ลานบ้านกว้างขวาง รั้วกั้นหนาแน่นปลอดภัย ภายใต้แสงอาทิตย์อาบย้อม นางรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างดูสวยงามราวกับตกอยู่ในความฝัน
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา นางคิดว่าถงซื่อมาแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านดูบ้านหลังใหญ่โตของเราสิ รู้สึกหรือไม่ว่าทำงานลำบากยากเย็นทุกวันนี้ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน”
“อืม” อีกคนหนึ่งตอบกลับ
มู่ซืออวี่จึงหันกลับมาอย่างประหลาดใจ “ท่านกลับมาได้อย่างไร?”
“เรื่องที่ใต้เท้ามอบหมายให้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ได้รับวันหยุดพักผ่อนพิเศษสามวัน”
“ท่านกลับมาพอดีเลย ถือโอกาสที่ท่านว่าง พวกเราเชิญคนในหมู่บ้านมาทานอาหารง่าย ๆ สักมื้อ ถือซะว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่”
“ได้”
“ข้าจะพาท่านไปดูห้องของเรา” มู่ซืออวี่ดึงลู่อี้เข้าไปข้างใน
“ท่านพี่!” ลู่จื่ออวิ๋นโผเขามาหาลู่ฉาวอวี่ราวกับผีเสื้อตัวน้อย
ลู่ฉาวอวี่รับนางไว้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย “เหตุใดจึงวิ่งเร็วเช่นนี้ ถ้าล้มลงไปจะทำอย่างไร?”
“ท่านพี่ บ้านใหม่ของพวกเราสวยมาก”
“อืม”
“ภายหน้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำฝนอีกแล้ว”
“อืม”
“ท่านพี่ ข้าจะพาท่านไปดูห้องของท่าน” ลู่จื่ออวิ๋นดึงลู่ฉาวอวี่เข้าไปข้างใน
ลู่ฉาวอวี่มองดูห้องใหม่ สุดท้ายเด็กชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่ก็มีอารมณ์หลากหลายประดังขึ้นมาบ้าง
เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตากวาดมองเตียงหลังใหญ่ จากนั้นมองดูตู้หลากหลายแบบที่อยู่ด้านข้าง และตู้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงข้าม
“ท่านแม่บอกว่านี่เป็นตู้เสื้อผ้า ข้างในวางเสื้อผ้าได้มากมาย ทั้งยังใช้ไม้แขวนแขวนเสื้อผ้าได้ด้วย ตู้เล็ก ๆ เหล่านี้เอาไว้ใส่ถุงเท้ากับอย่างอื่นได้ ตู้ตรงนี้เป็นตู้ไว้ใส่ตำรา ใส่หนังสือไว้ข้างใน เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก อยากดูอะไรก็หาเจอ ส่วนตู้เล็ก ๆ เหล่านี้เป็นตู้เก็บของ เอาของเล็ก ๆ ใส่ไว้ได้ ยังมีอันนี้ ท่านพี่มาดู นี่เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ เหมาะมากใช่หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องก้มหน้าเขียนแล้ว อีกทั้งยังมีแสงแดดส่องเข้ามาด้วย”
“นี่คืออะไร?” สายตาของลู่ฉาวอวี่จับจ้องอยู่ที่หน้าต่าง
ตรงนั้นมีกระถางต้นไม้เล็ก ๆ วางอยู่
“ท่านแม่บอกว่าเลี้ยงต้นไม้และดอกไม้ดีต่อร่างกายและจิตใจ ถ้าท่านพี่เหนื่อยจากการอ่านตำรา มองดูดอกไม้ต้นไม้เหล่านี้ก็จะมีความสุข”
“ทั้งหมดนี้นางเตรียมไว้หมดเลยหรือ?”
“แน่นอน ท่านแม่เก่งกาจใช่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นดูภูมิใจมาก “ในที่สุดข้าก็รู้ว่าเหตุใดท่านพี่จึงฉลาดเช่นนี้ เป็นเพราะท่านพ่อกับท่านแม่ล้วนฉลาดมากอย่างไรล่ะ”
มุมปากของลู่ฉาวอวี่หยักยกขึ้น “อืม”
“อยากไปดูห้องของข้าหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นถาม “อยู่ข้าง ๆ ห้องท่านเลย”
ลู่ฉาวอวี่จึงตามลู่จื่ออวิ๋นไปห้องข้าง ๆ
ผนังห้องนี้เป็นสีม่วง ทั้งสวยงามทั้งชวนฝัน
อันที่จริงโดยทั่วไปแล้วค่อนข้างเหมือนกับห้องของลู่ฉาวอวี่ ความแตกต่างคือเตียงของลู่จื่ออวิ๋นมีม่านโปร่งบาง ดูเหมาะกับเด็กน้อยเป็นพิเศษ
ลู่จื่ออวิ๋นก็มีโต๊ะหนังสือและตู้ตำราเช่นกัน เครื่องเรือนทุกอย่างวางอยู่พร้อมสรรพ แต่ตรงหน้าต่างมีการวางไม้ประดับตกแต่งมากกว่า ดูอบอุ่น เหมาะกับสตรี
ลู่อี้เห็นห้องของเขาแล้ว
หากจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้น ต้องเรียกว่าเป็นห้องของพวกเขา
ห้องกว้างขวางโอ่โถงโดยแท้จริง ข้างในมีห้องหนึ่ง ข้างนอกมีห้องหนึ่ง แต่ละห้องมีเตียงหนึ่งหลัง หากมีคนถามก็บอกว่านั่นเป็นห้องอ่านหนังสือของลู่อี้ เช่นนั้นย่อมไม่เกิดความผิดพลาดใด ๆ ขึ้น
อีกทั้งยังมีตู้อีกมากมาย ชั้นตำรา เครื่องเรือนทุกชนิดล้วนครบครัน
“มีโต๊ะสองตัว เช่นนี้ก็จะไม่รบกวนกันแล้ว” มู่ซืออวี่อธิบาย “หากเจ้ารู้สึกว่าไม่ชอบที่วางโต๊ะ เจ้าก็สามารถเคลื่อนย้ายได้”
“ในเมื่อข้างในเป็นห้องตำรา เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงวางโต๊ะไว้ข้างนอก เจ้าควรย้ายโต๊ะเจ้าเข้าไปไว้ข้างใน เช่นนี้จึงจะดูเหมือนห้องตำราจริง ๆ”
“ข้ากลัวจะรบกวนเจ้า”
“ไม่รบกวน”
“เช่นนั้นก็ได้! วันหลังค่อยย้าย”
“จะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไหร่หรือ?”
“พรุ่งนี้ วันนี้ไม่ทันแล้ว”
เมื่อข่าวขึ้นบ้านใหม่ของบ้านลู่กระจายออกไป ชาวบ้านก็ต่างริษยา แต่น้อยคนนักที่จะนินทาว่าร้าย ส่วนใหญ่เข้ามาประจบประแจง
ลู่อี้คนปัจจุบันไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะให้พวกเขาว่าร้ายได้ง่าย ๆ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการแล้ว หากเอ่ยอะไรผิดไป ไม่แน่ว่าสักวันอาจถูกส่งเข้าคุกก็เป็นได้
“บ้านลู่เชิญพวกท่านไปขึ้นบ้านใหม่หรือไม่?”
“เชิญแล้ว พวกเจ้าล่ะ?”
“เชิญแล้ว พวกเจ้าจะเอาอะไรไปให้”
“โธ่ บ้านข้าไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีอะไรให้เลย ทำได้แค่เอาไข่ไปให้ห้าสิบฟองเท่านั้น”
“ห้าสิบฟอง? นี่ก็ไม่น้อยแล้ว ครั้งก่อนบ้านป้าหวังแต่งลูกสะใภ้ เจ้าส่งไปให้สิบฟองเองกระมัง?”
ทุกคนในหมู่บ้านพูดคุยเรื่องงานขึ้นบ้านใหม่ของบ้านลู่ ญาติพี่น้องในหมู่บ้านได้รับเชิญจากบ้านลู่เกือบทุกคน ส่วนคนจำนวนน้อยที่ไม่ได้รับเชิญล้วนเป็นคนที่เคยมีเรื่องน่ากระอักกระอ่วนกับมู่ซืออวี่
[1] ยืมดอกไม้ของคนอื่นมาถวายพระ หมายถึง ใช้ของคนอื่นมาแสดงน้ำใจ