สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว
บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว
บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว
มู่ซืออวี่ลูบท้องตัวเอง กล้ำกลืนความอับอายทั้งหมดลงคอไป
นางจัดการกับผักป่าเหล่านั้นต่อไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยนิ้วมือกลมกลึงเงอะงะอย่างไม่ชำนาญ เห็นได้ชัดว่าร่างกายนี้อยู่อย่างเกียจคร้านมานานหลายปี แม้จะผ่านการฝึกฝนมาบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับมือของร่างเดิม
เมื่อผักป่าทั้งหมดถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมที่จะนำไปล้าง ไก่ตัวหนึ่งที่เชือดแล้วก็ถูกส่งมาให้นาง
หัวเล็ก ๆ ของมันหันมาทางนาง เลือดไหลอาบออกมาจากคอ หญิงสาวเห็นเข้าก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดูตกใจอย่างปิดไม่มิด
นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่ยื่นไก่มาให้แล้วถามเสียงอ่อน “นี่คือ…”
“อยากได้อะไรก็บอกข้า ไม่ต้องไปใช้เด็ก ๆ” น้ำเสียงลู่อี้ฟังดูเย็นเยียบ “ข้าให้เจ้าได้ ถ้ามันไม่เกินไปนัก ข้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น”
หญิงสาวกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งแล้วหยิบไก่ตัวนั้นมาอย่างระมัดระวัง “เจ้าได้ยินด้วยหรือ?”
เขารู้ว่านางให้เด็กไปพูดแทนความต้องการของตัวเอง น่าอายเหลือเกิน อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจากตรงนี้
ลู่อี้ไม่ได้ตอบอะไร เขาออกไปจากตรงนั้นทันที
มู่ซืออวี่มองตามแผ่นหลังของเขา สายตาทอดมองไปหยุดอยู่ที่ขายาว ๆ ของชายหนุ่ม
ทั้งยาวเรียวและบาง แต่กลับดูมีพลังบางอย่าง
“โอ๊ย… บ้าไปแล้ว” นางรีบส่ายหัวไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ทิ้งไป “เราคิดบ้าอะไรอยู่”
หญิงสาวต้มน้ำให้เดือดเพื่อกำจัดขนไก่ ระหว่างที่กำลังจะจัดการกับขนพวกนั้น นิ้วมือของนางก็เผลอถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเถือกดูราวกับไส้กรอก นางหอบหายใจ พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ระหว่างถอนขน การเคลื่อนไหวทั้งหมดช่างเชื่องช้าต่างจากร่างกายเดิมของนางอย่างยิ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นหย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นออกมา
มู่ซืออวี่ไม่มีเวลามาพูดคุยกับเด็กหญิง นางเอาแต่ง่วนอยู่กับงานที่ทำ การถอนขนต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นไก่จะเหนียวเพราะลวกน้ำร้อนนานจนเกินไป
ลู่เซวียนเองก็เข็นรถเข็นเข้ามามองอยู่ไม่ไกล พลางพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “ตอนกินออกจะคล่องปาก เหตุใดตอนทำถึงได้เงอะงะอย่างนั้นเล่า”
ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวจึงพูดกับไก่ที่นอนตายในมือ “เมื่อก่อนขันเสียงดั๊งดัง แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว”
ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่เขม็ง “เจ้าว่าข้างั้นรึ?”
“เปล่า ข้าพูดกับไก่ เจ้าเป็นไก่หรือเปล่าล่ะ?” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงสัย นางจ้องกลับไปแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ถ้าเบื่อนักก็ไปหาหนังสืออ่าน เจ้ารู้หนังสือไม่ใช่หรือ ข้าเห็นว่ามีหนังสือมากมายในห้อง น่าจะช่วยแก้เบื่อได้ไม่น้อย”
ลู่เซวียนหงุดหงิดจนพูดไม่ออก ชายหนุ่มได้แต่เข็นรถเข็นกลับไปที่ห้องนอน
เสียงใสของเด็กน้อยลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น “ท่านอาเป็นคนดี ท่านแม่อย่ารังแกเขาเลย ตอนนี้ท่านอาป่วย น่าสงสารจะตายไป เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลท่านอานะเจ้าคะ”
เด็กหญิงมีท่าทีเป็นกังวล นางเองก็กลัวว่าท่านแม่จะไม่พอใจที่ตนพูดแบบนั้นเช่นกัน พูดจบก็กระวนกระวายขึ้นมา
ถ้ามือของมู่ซืออวี่ไม่ได้เปื้อนรอยไก่ นางคงยกมือขึ้นมาบีบแก้มใสนั้นอย่างอดใจไม่อยู่แล้ว จึงได้แต่พูดเสียงเบาว่า “แม่แค่แกล้งเขาเล่นเท่านั้นเอง ดูท่าทางกระฉับกระเฉงตอนที่เขาโกรธสิ ไม่ได้ดูแข็งแรงกว่าปกติหรือ?”
ลู่อี้มองสองแม่ลูกกำลังคุยกัน จากนั้นก็เหลือบมองลู่ฉาวอวี่ เด็กชายกำลังทำความสะอาดเครื่องในไก่อย่างเงียบ ๆ ในตอนนั้นเองที่ลู่อี้พบว่าบรรยากาศในบ้านแตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่มาก มันไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยสีสันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
กลิ่นหอมของไก่ที่โชยมาจากบ้านตระกูลลู่ทำเอาเด็กหลายคนในบ้านข้างเคียงถึงกับร้องไห้ ทำได้เพียงเคี้ยวหมั่นโถว ดมกลิ่นเนื้อไก่ และแอบด่าตระกูลลู่อยู่ในใจ
มู่ซืออวี่พบว่ามีผักกาดดองอยู่ในไหเล็กน้อยจึงเอามาทำเครื่องในไก่ผัดผักกาดดอง ไก่ครึ่งหนึ่งเอาไปตุ๋นแป็นน้ำแกง ที่เหลือเก็บไว้สำหรับพรุ่งนี้
ภายในครัวมีส่วนผสมไม่มากที่จะทำอาหารให้อร่อย แม้ว่าจะเก่งเรื่องการปรุงอาหาร แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรที่ซับซ้อนออกมาได้โดยปราศจากเครื่องปรุง นอกเสียจากใช้เปลือกส้มเติมลงไปในน้ำแกงไก่เพื่อเพิ่มรสชาติเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้นางมีน้ำแกงไก่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีข้าว หญิงสาวเอาข้าวขาวที่เหลืออยู่ออกมาทำเป็นข้าวต้ม ให้น้ำช่วยเพิ่มปริมาณให้พวกมันได้อีกหน่อย จากนั้นก็เอาผักป่าไปทำเป็นปิ่ง*[1] เพื่อไม่ให้มีแต่รสชาติจืด ๆ และยังอิ่มท้อง
น้ำมันสำหรับทอดปิ่งเป็นไขมันที่ได้จากไก่ กลิ่นของปิ่งจึงหอมมันไก่ไปด้วย หลังจากทอดกรอบ ๆ จนผิวด้านนอกเป็นสีเหลืองทองก็ดูน่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก
ตะกร้าปิ่งจากผักป่าวางอยู่กลางโต๊ะ มีเครื่องในไก่ผัดผักกาดดองและน้ำแกงไก่ห้าชามวางอยู่ตามตำแหน่งของสามชิกในบ้าน เท่านี้ก็เป็นมื้อค่ำที่ไม่เลวแล้ว
“เสี่ยวอวิ๋น ไปเรียกท่านอาของเจ้ามากินข้าว” มู่ซืออวี่พูดพลางจัดวางตะเกียบบนโต๊ะ
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปที่ห้องของลู่เซวียน ร้องเรียกให้เขามากินข้าว แต่กลับมีเสียงไม่พอใจของเขาดังออกมา “ข้าไม่กินอาหารที่ผู้หญิงคนนั้นทำ ไม่รู้ว่าวางยาพิษหรือเปล่า”
มู่ซืออวี่ตะโกนเสียงดังกลับไป “เสี่ยวอวิ๋น! ท่านอาของเจ้าคงยังไม่หิว เพราะกินโจ๊กที่แม่ทำไปแล้ว ปล่อยเขาเถิด ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร แม่หิวแล้ว เดี๋ยวจะกินส่วนของเขาเอง มาเร็วเข้า มากินข้าวกันดีกว่า!”
“เหตุใดข้าต้องให้เจ้ากินส่วนของข้าด้วย” ร่างของลู่เซวียนปรากฏขึ้นที่หน้าประตู “ต่อให้ข้าไม่กินมัน เจ้าก็ต้องเอาให้เสี่ยวอวี่กับเสี่ยวอวิ๋นสิ ของเจ้าซะที่ไหน!”
นางมองเขาแล้วลองยั่วยุ “ตราบใดที่ข้าอยากกิน เด็ก ๆ ก็ต้องยกมันให้ข้าอยู่แล้ว เสี่ยวอวี่ เสี่ยวอวิ๋น ข้าขอกินได้หรือไม่?”
ลู่ฉาวอวี่นั่งตัวตรง “ตามสบาย”
ส่วนลู่จื่ออวิ๋นพูดอย่างว่าง่าย “ข้ากินนิดเดียวก็อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
“น่ารักมาก” มู่ซืออวี่กล่าวชมเด็กทั้งสอง
ท่าทางว่าการทำงานอย่างหนักของนางจะไม่เปล่าประโยชน์ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้างนางแล้วอย่างแน่นอน ลู่ฉาวอวี่ที่แสนเฉยเมยก็เป็นคนตรงไปตรงมา ด้วยการสนับสนุนจากเด็กทั้งสองนี้ นางก็จะสามารถต่อกรกับลู่เซวียนได้โดยง่าย
“มานั่งตรงนี้แล้วกินสักที” ทันทีที่ลู่อี้เปิดปากพูด คนสองคนที่เถียงกันอยู่ก็เป็นอันต้องสงบลง
ลู่เซวียนจำต้องเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้อย่างไม่เต็มใจ มู่ซืออวี่ก็นั่งลงอีกข้างของลู่อี้เช่นกัน
เด็กทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน คนหนึ่งก็เป็นเด็กดีน่ารัก ส่วนอีกคนนิ่งเฉยไม่แยแสสิ่งใด บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี มู่ซืออวี่พออกพอใจ ไม่สนสายตาจ้องจะกินเลือดกินเนื้อของลู่เซวียน
“กินเถอะ” ครั้นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงเริ่มขยับตะเกียบ
ในตอนนั้นเองที่มู่ซืออวี่สังเกตว่าครอบครัวลู่ไม่ได้กินข้าวดังเช่นครอบครัวชาวไร่ชาวนาทั่วไป ไม่ใช่ว่าชาวไร่ชาวนากินข้าวอย่างไร้อารยะ แต่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ใช่ขุนนาง พวกเขาจะกินข้าวแบบสบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีเรียบร้อย ทว่าคนในบ้านนี้ แม้แต่เด็กสองคนก็กินอาหารอย่างเงียบ ๆ ดูเป็นการเคลื่อนไหวแบบชนชั้นสูง ไม่ส่งเสียงดังจนเกินไป
กร๊อบ…
ลู่เซวียนกัดปิ่งเข้าไปหนึ่งคำ ความประหลาดใจก็ฉายวาบในแววตา จากนั้นก็เริ่มหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย
มู่ซืออวี่พออกพอใจกับฝีมือของตัวเองอย่างมาก แม้จะปรุงรสแทบไม่ได้เลย แต่ก็พยายามอย่างยิ่งในการจัดการกับวัตถุดิบและควบคุมไฟ ทำให้อาหารที่แทบไร้การปรุงรสมีรสชาติอร่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้จะมีเครื่องในไก่เป็นส่วนผสม แต่กลิ่นของผักกาดดองทำให้มันไม่เหม็นคาว ปิ่งก็ถูกทอดจนเหลืองกรอบ ไม่ต้องพูดถึงว่ากลิ่นของมันหอมน่ากินมากแค่ไหน
แม้ว่าลู่อี้จะยังคงนิ่งเงียบ แต่เขาก็กินเครื่องในไก่ไปไม่น้อย เด็ก ๆ ทั้งสองก็กินอย่างอร่อยจนมีคราบน้ำมันติดปาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพลิดเพลินกับมื้อค่ำนี้มากแค่ไหน
[1] ปิ่ง คือ อาหารจีนที่ทำจากแป้ง ผสมผักหรือส่วนผสมอื่น ๆ แล้วทอดบนกระทะ หน้าตาออกมาคล้ายแพนเค้กผัก