สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 171 เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 171 เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น
บทที่ 171 เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น?
บทที่ 171 เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น?
ลู่จื่ออวิ๋นกำลังเล่นอยู่กับเสี่ยวเฮย ทันทีที่เห็นมู่ซืออวี่ออกมาก็ร้องเรียกเสียงเจื้อยแจ้ว “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว”
“อ๊ะ หิวแล้วใช่หรือไม่? อีกเดี๋ยวแม่จะเตรียมอะไรให้เจ้ากิน” มู่ซืออวี่ยิ้ม
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น?” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาใสซื่อของตน “เหมือนลูกท้อเลย งามจริง ๆ”
มู่ซืออวี่รู้สึกอับอาย ไม่รู้จะตอบคำถามของลู่จื่ออวิ๋นอย่างไร
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยไม่รอคอยคำตอบของมารดา “ปากท่านถูกยุงกัดหรือ? ทั้งแดงทั้งบวมเลยเชียว”
“อะแฮ่ม!” เสียงลู่เซวียนกระแอมเบา ๆ ดังมาจากทางหน้าต่าง “อวิ๋นเอ๋อร์ มาช่วยอารดน้ำดอกไม้เร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งปร๋อไปที่ห้องของลู่เซวียน
มู่ซืออวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้า และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง
“ท่านพี่” มู่เจิ้งหานเรียกนางจากข้างนอก
ตอนที่มู่ซืออวี่เดินออกมา ลู่ฉาวอวี่ก็เปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้ว
มู่เจิ้งหานยื่นตะกร้าที่ถือเอาไว้ให้นางแล้วพูดว่า “ท่านแม่บอกว่าเมื่อวานนี้ท่านเหนื่อย วันนี้จะต้องตื่นไม่ทันเป็นแน่ ก็เลยทำแป้งทอดมาให้มากหน่อย”
“ขอบคุณนะ” มู่ซืออวี่กล่าว “เช่นนั้นข้าจะทำแกงข้าวโพดทานกับแป้งทอดก็แล้วกัน”
“ได้เลย” มู่เจิ้งหานมองมู่ซืออวี่อย่างสงสัย “ท่านพี่ ท่านถูกยุงกัดหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยกับมู่เจิ้งหานว่า “ท่านอาจารย์บอกให้ท่องจำ ท่องได้แล้วหรือ?”
มู่เจิ้งหาน “….”
เขาเป็นน้าแท้ ๆ แต่กลับไม่มีอำนาจบารเลยจริง ๆ
ลู่อี้เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ดวงตาสีนิลหยุดลงที่ร่างกายของมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันไปมองก็พบว่าลู่อี้ยังผมเปียกชื้น น้ำหลายหยดตรึงอยู่บนใบหน้า ดวงตาสีนิลคู่นั้นทั้งลึกล้ำและดำสนิท หากสบตาก็คงกระชากวิญญาณของคนได้ นางจึงไม่กล้าที่จะสบตาเขา
“ดูเหมือนว่าที่บ้านพวกท่านจะมียุงเยอะ พี่เขยก็ถูกกัดเช่นกัน” มู่เจิ้งหานครุ่นคิด “อีกเดี๋ยวข้าจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรฆ่ายุงมารมเสียหน่อย”
“ถ้ามีเวลาว่างเช่นนี้ ไม่สู้เอาไปจดจำการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้ดีกว่าหรือ อีกเดี๋ยวข้าจะดูว่าที่ท่านเขียนออกมานั้นท่านจำได้แค่ไหน” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
มู่เจิ้งหานรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าเป็นน้าของเจ้านะ”
“แต่ในแง่ของการเล่าเรียน ท่านเป็นศิษย์น้อง” ลู่ฉาวอวี่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ลืมครึ่งปีไปแล้วหรือ? ตอนนี้หนึ่งเดือนแล้วนะ”
มู่เจิ้งหานจึงไม่กล้าพูดอีก
มู่ซืออวี่กำลังทำแกงข้าวโพด ครั้นเห็นลู่อี้เข้ามาจึงขยับหนี ทว่าลู่อี้จับนางไว้แล้วผลักนางไปข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะก่อไฟ”
นางได้แต่เหลือบมองเขา
“ฮูหยินไม่พอใจข้าหรือ?” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ
“ไม่กล้า ข้าจะกล้าไม่พอใจใต้เท้าลู่ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น
ระหว่างอาหารเช้า ทุกคนกินแป้งทอดและแกงข้าวโพดอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดเปิดปากพูด บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองลู่อี้ จากนั้นก็หันไปมองมู่ซืออวี่แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้พวกท่านพาอวิ๋นเอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่นได้หรือไม่?”
“วันนี้เชิญท่านหมอจูมาแล้ว เกรงว่าจะไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่น” มู่ซืออวี่กล่าว
“ว้า…” เด็กน้อยก้มหน้าลงแล้วดื่มแกงข้าวโพดต่อ
มู่ซืออวี่เห็นลูกสาวเป็นเช่นนี้ก็ทนไม่ได้
ช่วงนี้ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานวุ่นอยู่กับการเรียน ลู่เซวียนวุ่นอยู่กับสำนักศึกษาและเขียนหนังสือ ลู่จื่ออวิ๋นกลายมาเป็นคนที่เหงาหงอยที่สุด เวลานี้คงเบื่อกระมัง
“น้องสามี วันนี้เจ้าไม่ต้องไปสอนหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“วันนี้หยุดพักผ่อน” ลู่เซวียนตอบ
“เช่นนั้นข้ามีคำแนะนำ เจ้าก็เห็นว่าครอบครัวเราแทบจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน มิเช่นนั้นพวกเราออกไปกินลมชมทิวทัศน์กันเป็นอย่างไร? ถึงตอนนั้นก็เชิญท่านหมอจูไปด้วย เช่นนี้ก็ฟังดูเข้าท่านะ”
“กินลมชมทิวทัศน์คืออะไรหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“กินลมชมทิวทัศน์ก็คือการหาสถานที่ที่มีภูเขาหรือแม่น้ำสวย ๆ เพื่อชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามพร้อมกับลิ้มรสอาหารท่ามกลางธรรมชาติ น่าเพลิดเพลินใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้ข้าให้ช่างตีเหล็กทำเตาย่างให้พอดี มีประโยชน์ก็คราวนี้แหละ พวกเราสามารถปิ้งย่างไปพลางชื่นชมทิวทัศน์ไปพลางได้”
“ได้” ลู่อี้ตอบ
“ฟังดูน่าสนใจทีเดียว”
ลู่เซวียนเคยเป็นคนร่าเริงแจ่มใส หากไม่ใช่เพราะสุขภาพไม่ค่อยดี เขาคงไม่กลายมาเป็นคนติดบ้านเช่นนี้ บัดนี้ร่างกายของเขาเริ่มดีขึ้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องอยากออกไปเที่ยวเล่น
รถม้าพาคนทั้งแปดมุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่หุบเขาและสายน้ำ
เมื่อออกมาจากรถม้า ท่านหมอจูก็เหยียดแขน หันหน้าไปทางน้ำใสไหลรื่นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามมาก”
คนอื่น ๆ ตามลงมา
“ทิวทัศน์สวยงามจริง ๆ” ลู่เซวียนเอ่ยขึ้น “ท่านหมอจู ที่นี่คงจะมีแมลงมีพิษไม่น้อยใช่หรือไม่? ต้องรบกวนท่านแล้ว”
“เจ้าเด็กนี่ เจ้ากลับมาสั่งคนเสียนี่” ท่านหมอจูลูบเคราตนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นยาผง เอาไว้โรยไว้บนตัว ไม่ว่าแมลงมีพิษชนิดใดก็จะไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า”
มู่ซืออวี่และลู่อี้นำของออกมาเตรียมทำปิ้งย่าง
ฝั่งตรงข้ามเป็นทะเลสาบและมีปลาอยู่ไม่น้อย จะขาดปลาย่างไปไม่ได้ นางเตรียมเนื้อและผักเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังมีน้ำบ๊วยที่เคี่ยวเป็นอย่างดีเอาไว้คลายเลี่ยน หากเด็ก ๆ เล่นจนเหนื่อยแล้วก็ดื่มได้พอดี
“ฉาวอวี่ ข้าเล่าเรียนไม่สู้เจ้า แต่จับปลาเก่งกว่าเจ้าแน่นอน” มู่เจิ้งหานลงไปในน้ำเรียบร้อยแล้ว
มู่ซืออวี่นึกเป็นห่วง “น้ำที่นี่ลึกหรือไม่? จะปลอดภัยหรือ?”
“น้องหานโตมากับน้ำ แต่ก่อนก็เคยลงน้ำจับกุ้งจับปลา ไม่ต้องเป็นห่วง” ลู่อี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อให้นาง “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อยากจะไปดูทางโน้นหรือไม่?”
เมื่อครู่ยังมีคนมากมายอยู่ตรงนี้จึงไม่ได้รู้สึกอะไร เมื่ออยู่กันตามลำพัง บรรยากาศอันคลุมเครือในตอนเช้าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่อี้คว้าข้อมือของนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางถอยหนี
มู่ซืออวี่เงยหน้ามอง “จะทำอะไร?”
“บนเขาทางนู้นต้องมีเห็ดป่าและของป่าอยู่ไม่น้อยแน่ เจ้าไม่อยากไปเก็บมาสักหน่อยหรือ?”
“ข้าจะไปดู”
ลู่อี้บอกกับลู่เซวียนและท่านหมอจูสองสามคำ จากนั้นก็บอกถงซื่อที่กำลังเก็บดอกไม้ป่าเป็นเพื่อนลู่จื่ออวิ๋น แล้วจึงเดินตามมู่ซืออวี่ไป
บนภูเขามีของป่าไม่น้อยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเห็ดยังสดใหม่ มู่ซืออวี่ผู้ที่ชื่นชอบทำอาหารและชอบกินนั้นตื่นเต้นมาก ไม่อาจห้ามใจที่จะไม่เดินเก็บไปเรื่อย ๆ
ตึง!
เสียงแปลก ๆ ดึงดูดความสนใจของมู่ซืออวี่ นางหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองที่มาของเสียง
มือหนึ่งพลันเอื้อมมาปิดปากของนาง ในตอนที่นางกำลังหวาดกลัวนั้นเอง น้ำเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น “ข้าเอง”
มู่ซืออวี่จึงผ่อนคลายลง
ลู่อี้พามู่ซืออวี่ไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้
ฉัวะ!
ทั้งสองเห็นใครบางคนถูกตัดหัว ดวงตาของชายผู้โชคร้ายเบิกโพลง และจ้องมาทางมู่ซืออวี่และลู่อี้
มู่ซืออวี่หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ
คงไม่โชคร้ายถึงเพียงนี้กระมัง?
ออกมาเที่ยวนอกบ้านครั้งแรกกลับพบเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมเนี่ยนะ
นางอยู่บ้านนอกอย่างสงบสุขเกินไป นานเสียจนลืมไปว่านี่เป็นยุคสมัยโบราณ ยุคที่คนฆ่าแกงกันง่าย ๆ อีกทั้งราชวงศ์ยังเรืองอำนาจถึงที่สุด
คนที่มีอำนาจสามารถทำลายครอบครัว หมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งเมืองหนึ่งได้ง่าย ๆ เพียงแค่สะบัดปลายนิ้ว
ชีวิตคนไร้ค่าเมื่ออยู่ที่นี่
ดังเช่นในตอนนี้ ห่างออกไปราว ๆ ร้อยจั้ง ชายคนนั้นสะบั้นชีวิตคนดาบแล้วดาบเล่าอย่างไร้ความปรานี ในขณะที่ชายชราในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังมองดูทั้งหมดนี้ สายตาไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใด
“เจียงเหล่า*[1] ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“โยนลงไปตรงหน้าผาให้เป็นอาหารหมาป่าเสีย”
“ขอรับ”
[1] เหล่า ใช้กล่าวแสดงความเคารพยกย่องของผู้พูด