สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 172 ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ตรงนี้
บทที่ 172 ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ตรงนี้
บทที่ 172 ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ตรงนี้
ลู่อี้สังเกตเห็นว่ามู่ซืออวี่กำลังตัวสั่น จึงกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา ก่อนจะดันศีรษะของนางเข้ากับอ้อมอกของเขา
คนเหล่านั้นใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก กระทั่งกำจัดศพทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วจึงเดินมาทางที่พวกเขาอยู่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา มู่ซืออวี่พลันตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ลู่อี้กอดนางไว้แล้วพาก้าวถอยหลัง
เขาขึ้นเขาเข้าป่าล่าสัตว์มานาน บางครั้งจำต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลาหลายชั่วยามเพื่อล่าสัตว์ป่า กระทั่งตามสัตว์ป่าทั้งวันทั้งคืนเงียบ ๆ ก็เคยมาแล้ว ดังนั้นจึงค่อย ๆ สั่งสมความสามารถในการหลบซ่อนตัวเอง
และเป็นดังที่คาดไว้ คนเหล่านั้นไม่พบพวกเขา
“เอาล่ะ พวกเขาไปแล้ว” ลู่อี้ปล่อยนางออกจากอ้อมแขน
มู่ซืออวี่นั่งลงบนพื้น พลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นฉากฆาตกรรมคาตาเช่นนี้ แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?
หากเมื่อครู่ถูกพบเข้าละก็ บางที…
“พวกเราต้องรีบกลับไป” มู่ซืออวี่รีบร้อนลุกขึ้นเร็วเกินไป ร่างกายจึงโอนเอนไปมา
ลู่อี้พยุงนางไว้แล้วเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องกลัว การแต่งกายของคนเหล่านั้นไม่เหมือนเรา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ถึงแม้จะลงเขาก็ต้องลงไปตามเส้นทางอื่น พวกฉาวอวี่อยู่ริมทะเลสาบ ย่อมไม่พบพวกเขาแน่นอน”
ทันทีที่กลับมาถึงริมทะเลสาบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของมู่เจิ้งหานและลู่จื่ออวิ๋นมาแต่ไกล ถึงแม้ลู่ฉาวอวี่จะแสดงอาการไม่ยินดียินร้าย แต่ครั้งนี้รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นในแววตาของเขา นอกจากนี้ ทั่วทั้งตัวยังแผ่บรรยากาศผ่อนคลายสบายอารมณ์ออกมา
“ท่านพ่อ! ท่านแม่!” ลู่จื่ออวิ๋นโบกมือให้พวกเขา
มู่ซืออวี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาพวกเขา
“พวกเจ้าไปไหนมา?” ท่านหมอจูเอ่ยขึ้น “ปิ้งย่างที่รับปากไว้เล่า? พวกเราหิวกันหมดแล้ว”
“ได้ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้” มู่ซืออวี่หันไปหาลู่อี้แล้วเอ่ยว่า “ท่านช่วยขอดเกล็ดปลาให้ข้าหน่อย”
ในขณะที่ขอดเกล็ดปลา ลู่อี้ก็คอยสังเกตมู่ซืออวี่ไปด้วย ชายหนุ่มกลัวว่านางจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ แต่นางกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ใบหน้าจะยังซีดเซียว แต่อย่างอื่นก็ล้วนปกติ
“พวกท่านทะเลาะกันมาหรือ?” ลู่เซวียนนั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้
ลู่อี้เลิกคิ้วถาม “ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าพวกเราทะเลาะกัน?”
“ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็เห็นว่าสีหน้านางดูซีดเซียว สีหน้าท่านเองก็มืดครึ้ม อย่างกับไปทะเลาะกันมา ดูทะเลาะกันหนักเสียด้วย” ลู่เซวียนตบไหล่ลู่อี้เบา ๆ “ในฐานะน้องชาย น้องชายคนนี้ขอแนะนำท่านสักคำ ชีวิตกว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย ท่านต้องรักษาเอาไว้ให้ดีล่ะ หากนางทำสิ่งใดผิด ตราบใดที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง พวกเราเป็นบุรุษจะต้องอดทนให้ได้”
“เจ้ากลัวจะไม่มีคนทำอาหารให้เจ้ากระมัง”
“…”
ลู่เซวียนลูบจมูกตนเอง แล้วเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด
“โอ้โห! อร่อยมาก” ลู่จื่ออวิ๋นกินเห็ดย่างด้วยสีหน้ามีความสุข “ท่านแม่ อร่อยมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าผักย่างอร่อยกว่าหมูย่างเสียอีก”
“แม่จะเอาให้เจ้าอีกเยอะ ๆ” มู่ซืออวี่พลิกผัก จากนั้นก็ป้ายเครื่องปรุงรสลงไป “แต่จะกินแค่อันนี้ไม่ได้ ข้าง ๆ มีน้ำบ๊วย เจ้าเทเอาเองนะ”
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปหาลู่อี้พร้อมกับเห็ดย่างชิ้นใหม่ที่ได้มา ก่อนจะเป่ามันแล้วยื่นให้ “ท่านพ่อ ลองชิมดูเจ้าค่ะ”
ลู่อี้กำลังฆ่าปลา มือย่อมไม่ว่าง เขาจึงเอ่ยว่า “พ่อไม่กิน เจ้ากินเถอะ”
“ท่านลองชิมดูสักหน่อย” ลู่จื่ออวิ๋นคะยั้นคะยอ
สายตาของลู่อี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาอ้าปากแล้วลองชิมดู “อร่อย แต่ตอนนี้พ่อกำลังยุ่ง อีกเดี๋ยวค่อยกินนะ”
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปข้าง ๆ มู่ซืออวี่อีกครั้งแล้วดึงปลายเสื้อของอีกฝ่าย “ท่านแม่ ท่านก็ลองชิมดู”
มู่ซืออวี่ย่อตัวลงชิมตามคำขอ “อื้ม อวิ๋นเอ๋อร์ของเราป้อนอะไรก็อร่อย”
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
ทางด้านมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่นั้นขึ้นมาบนบก ทั้งสองคนเหมือนลิงเปื้อนโคลน ไม่เพียงแต่บนตัวมีโคลนตมมากมายเท่านั้น ใบหน้าก็เปื้อนโคลนไม่น้อย
ถงซื่อนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้พวกเขาทั้งสองมาเปลี่ยน
“โอ้โห ท่านพี่ ท่านจะย่างได้อร่อยเกินไปแล้ว!” มู่เจิ้งหานออกอาการอย่างเกินจริง
“อร่อยก็กินให้มากหน่อย”
มู่ซืออวี่ย่างไว้ไม่น้อย ทั้งแถวเต็มไปด้วยผักนานาชนิดและเนื้อเสียบไม้
ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลิกอาหารไปมา ดูนางเป็นตัวอย่างแล้วป้ายเครื่องปรุงรสลงไป
มู่ซืออวี่มองการเคลื่อนไหวของเขา สายตาเผยความประหลาดใจ
คนสมองดีก็คือสมองดี เขาแค่มองอยู่ข้าง ๆ ไม่กี่อึดใจก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ตรงนี้ข้าทำได้ ท่านไปย่างปลาเถอะ” ลู่ฉาวอวี่เงยหน้ามองนาง
มู่ซืออวี่ย่อตัวลงหอมแก้มลู่ฉาวอวี่ไปหนึ่งฟอด “เหตุใดลูกชายข้าถึงฉลาดหลักแหลมเพียงนี้หนอ?”
ลู่ฉาวอวี่หน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที เด็กน้อยมองนางอย่าง ‘ขึงขัง’ “สตรีและบุรุษไม่ควรหอมแก้มกัน”
“แต่ข้าเป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้า”
“แต่ก็ต้องมีระยะห่างระหว่างบุรุษสตรี”
“แม่แท้ ๆ ยังหอมลูกชายไม่ได้อีกหรือ?”
“ท่าน ท่าน…” ลู่ฉาวอวี่เม้มปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่เซวียนระเบิดหัวเราะออกมา
เมื่อลู่ฉาวอวี่หันไปมองพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง เขาก็กระแอมเบา ๆ หนึ่งที ก่อนจะแหงนมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “อากาศวันนี้ช่างแจ่มใสจริง ๆ!”
“ไหม้แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยเตือนอยู่ข้าง ๆ
ลู่ฉาวอวี่มองอาหารที่ไหม้ไปแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ พลันหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที
“น่ารักจริง ๆ” มู่ซืออวี่หัวเราะอยู่ข้าง ๆ “เอาล่ะ ไม่กวนเจ้าแล้ว เจ้าย่างอันเล็ก ข้าจะไปย่างอันใหญ่”
ท่านหมอจูนั่งขัดสมาธิกินของย่างและดื่มน้ำผลไม้อย่างชื่นบาน “เฮ้อ เวลาเช่นนี้ช่างมีความสุขจริง ๆ! ข้าไม่อยากกลับไปแล้ว”
ถงซื่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองทะเลสาบเบื้องหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ท่านหมอจูมองใบหน้าด้านข้างของนาง ภาพหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในหัวของเขา
เป็นภาพเด็กสาวคนหนึ่งแบกตะกร้าหนักอึ้งเอาไว้ ทันใดนั้นเอง เท้านางเกิดพลิกขึ้นมา เขาเห็นเข้าก็รีบวิ่งไปรักษาเท้าของนาง
ดูเหมือนจะผ่านไปยี่สิบเอ็ดหนาวแล้ว เขานึกว่าตนลืมเลือนไปแล้ว ทว่าภาพนี้กลับโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
เขาส่ายศีรษะพลางยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านหมอจู แขนเสื้อของท่านขาดแล้ว” ถงซื่อเห็นแขนเสื้อของท่านหมอจูขาดจึงบอกเขา
ครั้นท่านหมอจูมองลงไป สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย “ไม่เป็นไร อย่างไรเสียปกติข้าก็มักจะทำเสื้อผ้าขาดตอนเก็บสมุนไพรมาทำยาอยู่แล้ว แค่กลับไปปะนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ใช้ได้แล้ว”
“รอยขาดเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องปะชุน” ถงซื่อว่าแล้วก็หยิบชุดเย็บผ้าออกมาจากแขนเสื้อ “มาเถอะ ข้าจะเย็บให้ท่านสักหน่อย”
ท่านหมอจูอยากจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นสายตากระตือรือร้นของถงซื่อ สุดท้ายเขาก็ไม่ปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้าตอบไป
สำหรับหญิงนางนี้แล้ว ไม่รู้ว่าต้องรวบรวมความกล้าเพื่อแสดงความโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่นมากแค่ไหน หากนางถูกปฏิเสธคราวนี้ เกรงว่าต่อไปจะยิ่งไม่กล้าแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่นอีก
ถงซื่อคว้าแขนเสื้อของท่านหมอจูมาเย็บ ในขณะที่ท่านหมอจูมองมาที่นางนิ่ง ๆ
มู่ซืออวี่มองมาเห็นฉากนี้พอดี เมื่อเห็นทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ สายตานางพลันทอประกายระยิบระยับ
ใช่แล้ว! ถงซื่อนั้นวัยยังไม่ถึงสี่สิบ หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็ยังอายุน้อย หญิงวัยสามสิบนั้นเรียกว่าเพิ่งเข้าสู่วัยแต่งงาน ด้วยเหตุนี้ถงซื่อย่อมมองหารักครั้งใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่เพื่อมู่ต้าซาน
นางดึงปลายแขนเสื้อของลู่อี้ ครั้นลู่อี้หันกลับมา นางก็เขย่งปลายเท้าถามเขาว่า “ท่านหมอจูมีภรรยาและลูกหรือไม่?”
ลู่อี้มองแววตาเปล่งประกายของนาง แล้วมองไปทางท่านหมอจูอีกครั้ง เขาจะไม่เข้าใจความคิดของนางได้อย่างไร?
“ไม่มี เขาไม่ได้แต่งงาน” ลู่อี้พูดขึ้น “แต่ได้ยินว่า…”
“หืม?” มู่ซืออวี่รอให้เขาพูดต่อ ทว่าเขากลับไม่พูดต่อแล้ว นางจึงร้อนใจขึ้นมา “อะไร? รีบบอกข้าเร็วเข้า”
ลู่อี้เลียนแบบนาง เขากระซิบข้างหูนางเบา ๆ “ข้าได้ยินว่าเขามีบุตรยากเพราะบังเอิญกินหญ้าพิษเข้าไป”
มู่ซืออวี่ “…”
เช่นนี้สินะถึงยังไม่แต่งงาน
หากเป็นบุรุษทั่วไป หลายปีมานี้จะไม่แต่งงานได้อย่างไร?
หญิงสาวพลันผิดหวัง
“ก็แค่ได้ยินมา ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความจริง” ลู่อี้เอ่ยพลางลูบหัวนางอย่างแผ่วเบา