สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 173 หากไม่อยากนอน พวกเรามาทำอย่างอื่นดีหรือไม่
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 173 หากไม่อยากนอน พวกเรามาทำอย่างอื่นดีหรือไม่
บทที่ 173 หากไม่อยากนอน พวกเรามาทำอย่างอื่นดีหรือไม่?
บทที่ 173 หากไม่อยากนอน พวกเรามาทำอย่างอื่นดีหรือไม่?
“เช่นนั้นท่านไปถามมา” มู่ซืออวี่จิ้มเอวเขา
ลู่อี้คว้านิ้วมือของนาง พลางส่งสายตาคลุมเครือมาให้ “ข้าจะได้อะไร?”
“เจ้ายังอยากจะได้อะไรอีก?” มู่ซืออวี่เริ่มไม่พอใจ
ลู่อี้จึงก้มลงกระซิบข้างหูนาง “ข้าก็อยากกินปลาที่เจ้าย่างด้วยเช่นกัน”
มู่ซืออวี่ “…”
แล้วนางไม่ให้เขากินตอนไหน?
ตรงนี้มีนางคนเดียวที่ย่างปลาเป็น หากเขาอยากกินแน่นอนว่าต้องให้นางย่างให้….
ผิดแล้ว เขาจงใจแกล้งนางมากกว่า
ประโยคที่ฟังดูธรรมดาเช่นนี้ จะต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ลามกนักนะ!
หลังจากคิดจนเข้าใจแล้ว มู่ซืออวี่ก็หันไปมองสีหน้าแพรวพราวของลู่อี้ แล้วหยิกเอวเขาไปหนึ่งทีด้วยความโกรธ
ลู่อี้สูดปาก “อึก”
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นในเสื้อบุนวมตัวน้อยมองเขาอย่างเป็นกังวล “อากาศร้อนหรือ?”
“ไม่ร้อน” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “เจ้าอยู่ห่าง ๆ จากเตาย่างหน่อย ระวังสะเก็ดไฟจะโดนตัวเอา”
ถงซื่อผูกปมที่ปลายด้าย ก้มหน้าลงกัดด้ายให้ขาด จากนั้นก็เก็บเข็มกับด้ายกลับไป “เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณ” ท่านหมอจูมองดูที่ที่เคยมีรูกลายเป็นลวดลายใบไผ่ใบหนึ่ง ดูมีเอกลักษณ์ทีเดียว
“ฝีมือข้าไม่ค่อยดี ท่านคงไม่ถือสา” ถงซื่อลุกขึ้นเดินไปหาลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลออกไป “อวิ๋นเอ๋อร์ หน้าเจ้าเปื้อนน้ำมันหมดแล้ว รีบเช็ดออกเร็วเข้า”
ขณะที่ถงซื่อเดินออกไป ลู่อี้ก็ถูกมู่ซืออวี่ผลักให้เดินมา
ลู่อี้นำเนื้อเสียบไม้ ผักเสียบไม้ และน้ำบ๊วยใส่กระบอกไม้ไผ่ จากนั้นจึงเดินมาหาท่านหมอจู
“นี่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ ท่านลองกินดู”
“วันนี้ลาภปากข้าแล้ว” ท่านหมอจูหัวเราะฮ่าฮ่า “หอมมาก หอมชวนน้ำลายสอจริง ๆ ภรรยาของเจ้านับวันยิ่งประเสริฐขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“ท่านไม่คิดจะหาภรรยาสักคนหรือ?” ลู่อี้แสร้งทำเป็นพูดเรื่อยเปื่อย “มีคนทำอาหารให้กินก็ดีเหมือนกัน เทียบกับอยู่คนเดียวแล้วดีกว่าเป็นไหน ๆ”
“ข้าแก่แล้ว ข้าไม่อยากทุกข์ร้อนกับเรื่องใดอีกแล้ว” ท่านหมอจูจิบน้ำบ๊วย “เยี่ยมยอด เปรี้ยวหวานกลมกล่อม รสเช่นนี้แก้เลี่ยนได้ดีที่สุด”
“ท่านยังไม่ถึงสี่สิบ อายุยังไม่มาก คงไม่ใช่มีเรื่องกังวลอยู่ในใจจนไม่มีผู้หญิงคนใดเข้าตากระมัง?” ลู่อี้ยื่นเนื้อเสียบไม้ให้อีกฝ่ายหนึ่งไม้
“เจ้าเด็กคนนี้ ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจริงเชียว ว่ามาเถอะ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าแค่พูดเรื่อยเปื่อย มีภูเขา มีสายน้ำ มีเนื้อดี ๆ อีกทั้งอากาศแจ่มใสเช่นนี้ แค่ได้พูดคุยสนทนากับท่านอา ชีวิตก็มีความสุขแล้ว”
แกร๊ง! ทั้งสองชนจอกกัน
“ฮ่าฮ่า ได้ แต่ว่านะ ไม่ต้องเป็นห่วงอาจูแล้ว ชีวิตนี้ของอาจูพอใจแล้ว” ท่านหมอจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่อี้ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทั้งสองคนพูดคุยสนทนาเรื่องอื่นต่อไป
มู่ซืออวี่หันไปมองสองคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมีแมลงเข้ามาไต่ยุกยิกในหัวใจนาง แทบอดทนไม่ไหวอยากลากลู่อี้มาถามให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ภาพรวมครั้งนี้นับว่าประสบผลสำเร็จ ความหนักอึ้งบนใบหน้าของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ลดน้อยลง ทุกคนผ่อนคลายลงไม่น้อย
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว ลู่อี้จึงไปส่งท่านหมอจูกลับบ้านก่อน
เมื่อเขากลับมา มู่ซืออวี่ก็ดึงเขาเข้าไปในห้อง
ลู่เซวียน “…”
นี่ ๆ น้องสามีคนนี้ยังอยู่ตรงนี้นะ!
ช่างปะไร กลับห้องไปเขียนต้นฉบับดีกว่า วันนี้ออกไปข้างนอกมาทั้งวัน มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนมากมายพอดี
“เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่ถาม
“เขาไม่มีความคิดจะแต่งงาน” ลู่อี้กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ จะว่าไปแล้ว เจ้าถามแม่เจ้าหรือยัง? นางมีความตั้งใจเช่นนั้นหรือ?”
จากมุมมองของเขา เกรงว่าจะเป็นความคิดของนางคนเดียว แม่ยายเขาปฏิบัติตามกรอบธรรมเนียมเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะรับปากเรื่องเช่นนี้
“อ้อ” มู่ซืออวี่เบ้ปาก “ไม่ยอมก็แล้วไปเถอะ ข้าจะหาคนที่ดีกว่าให้แม่ของข้า”
“ไม่กลัวแล้วหรือ?” ลู่อี้เห็นนางมีชีวิตชีวาดังเดิมแล้วก็โล่งใจ
“ท่านหมายถึงเรื่องที่เพิ่งเกิด…” สีหน้าของมู่ซืออวี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที “คนเหล่านั้นเป็นใครกันแน่? ชายชราคนนั้นแต่งกายไม่ธรรมดา เกรงว่าจะเป็นคนมีอำนาจ ที่นี่มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ไม่รู้ พรุ่งนี้ข้าจะไปตรวจสอบดูเสียหน่อย”
“ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าไปล่วงเกินคนเหล่านั้นเข้า ท่านก็เห็นว่าพวกเขาฆ่าคนราวกับกำจัดวัชพืช ชีวิตคนไร้ค่าในสายตาของพวกเขา”
“ได้”
คืนนั้นมู่ซืออวี่เห็นลู่อี้นั่งอยู่บนเตียงที่ห้องด้านนอก หลังจากลังเลชั่วขณะก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องด้านใน
ทว่าทันทีที่นางนั่งลง ลู่อี้กลับเดินเข้ามาหานาง
มู่ซืออวี่อดที่จะตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้ “มีเรื่องอะไร?”
ลู่อี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางขึ้นมาทันที
“ท่านจะทำอะไร?!”
“ไปนอน” ลู่อี้ตอบเบา ๆ
“ข้านอนไม่ค่อยหลับ ให้ข้านอนห้องข้างในเถอะ!”
ลู่อี้วางนางลงแล้วห่มผ้าให้เสร็จสรรพ จากนั้นจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกเผยความเจ้าเล่ห์
“หากไม่อยากนอน พวกเรามาทำอย่างอื่นดีหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ปกปิดร่างกายตนเองทันที จากนั้นรีบหลับตาลง “นอนแล้ว ๆ”
ลู่อี้มองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของนาง สายตาเจือแววอ่อนโยน
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองกับท่าน” มู่ซืออวี่พูดขึ้นมาทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท “รถม้าหนึ่งคันไม่พอแล้ว พวกเราเช่าเพิ่มอีกคันเถอะ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านงานยุ่งทุกวัน ข้าจะหาคนบังคับรถม้าให้ท่าน ท่านจะได้พักสักหน่อย”
“ข้าไม่ต้องการ หาคนให้เจ้าเองเถอะ”
“เฟิงเจิงบังคับรถม้าให้ข้าได้” มู่ซืออวี่หาวออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าว่าเขาไว้ใจได้ ส่วนข้างกายท่านต้องมีคนคอยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้”
ณ โรงม้า
มู่ซืออวี่สอบถามราคารถม้า จากนั้นจึงเช่ารถม้าคันใหม่
นางถามผู้ดูแลโรงม้าว่านางจะหาผู้ดูแลม้าได้จากที่ใด ผู้ดูแลให้นางไปซื้อกับนายหน้า นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงบังคับรถม้าไปหานายหน้า
“ลูกพี่ หญิงนางนั้นแหละ พวกเอ้อร์ฉู่ตามนางไปถึงได้ถูกจับเข้าคุก”
“นางเป็นมาอย่างไร? หญิงบ้านนอกคนหนึ่งจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังได้อย่างไร?”
“หากนางไม่มีเบื้องหลัง จะเสียเหล่าพี่น้องไปได้ยังไงล่ะ”
“เจ้านี่หนิ”
“พวกเราเหล่าร้อยอสูรจะต้องไม่ช่วยพี่น้องมือเปล่า ในเมื่อหญิงผู้นี้เดินทางเพียงลำพัง ไม่ว่านางจะเป็นมาอย่างไร จัดการคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถูก มิเช่นนั้นพวกเราเหล่าพี่น้องจะไม่ยอมรับท่าน” คนไม่กี่คนที่อยู่ข้าง ๆ ขยิบตา
มู่ซืออวี่กำลังบังคับรถม้า ทันใดนั้นก็มีคนมาขวางอยู่ข้างหน้า เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังจะชน นางรีบดึงสายบังเหียนอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไร?”
ทันทีที่รถม้าของนางหยุด หนึ่งในนั้นพลันกระโดดขึ้นรถม้า
มู่ซืออวี่คว้ามีดเล่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายออกมาฟันฉับไปทันที
“บัดซบ! สตรีนางนี้ยังใช้มีดอีก”
มู่ซืออวี่ใช้มีดข่มขู่ให้คนคนนั้นลงไป ก่อนจะกระตุกเชือกฟาดแส้บังคับรถม้าให้เคลื่อนไปข้างหน้า
“สตรีนางนี้ตอบสนองเร็วนัก”
ถึงจะเรียกว่าเหล่าร้อยอสูร แต่จริง ๆ แล้วเป็นเพียงอันธพาลตามท้องถนนเท่านั้น หัวหน้าชื่อว่าเฮยหู่ เขาตัวดำ ร่างกายแข็งแรงกำยำ เก่งเรื่องพละกำลังจึงปลุกปั่นพี่น้องให้ติดตามเขาไปทำเรื่องระยำตำบอนได้
เฮยหู่เรียนศิลปะการป้องกันตัวมาจากพระชรารูปหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายกวัดแกว่งมีดไปมาก็ผงะตกใจ รีบกระโดดลงจากรถม้าตามสัญชาตญาณ ทว่าหลังรู้สึกตัวก็รีบกระโดดขึ้นรถม้าตามไปทันที
มู่ซืออวี่ไม่เคยเห็นการปล้นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ นางบังคับม้าเข้าไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน “ขโมย! มีคนขโมย!”
“นังหญิงโสมม! เจ้ากล้าใช้มีดกับข้าได้อย่างไร!” เฮยหู่เหยียดแขนไปหามู่ซืออวี่ แต่ก่อนที่เขาจะได้แตะนาง ขอทานในสภาพกระเซอะกระเซิงกลับกระโดดขึ้นรถม้าแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน
มู่ซืออวี่คิดจะกระโดดลงจากรถม้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากกระโดดลงจากรถม้า นางก็คิดหนทางอื่นไม่ออกแล้ว นางคิดว่าบาดเจ็บยังดีกว่าตกไปอยู่ในมือของพวกโจร
ทว่าเมื่อเห็นขอทานคนนั้น นางก็จำได้ว่าเป็นขอทานคนที่นางเคยเอาอาหารให้เขาหลายครั้งหลายครา