สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 176 ขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองหลวง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 176 ขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองหลวง
บทที่ 176 ขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองหลวง
บทที่ 176 ขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองหลวง
มู่ต้าซานหยิบฟืน ก่อนจะเดินมาที่บ้านถงซื่อด้วยสีหน้าเย็นชา
ยังมีฟืนอีกสองกองอยู่ในมุมข้าง ๆ เชือกที่ยังผูกเป็นปมบ่งบอกได้ว่าฟืนที่เขาเก็บมาหลายวันนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถงซื่อไม่แม้แต่จะแตะมัน
เขาเคาะประตู
ถงซื่อกำลังเช็ดหน้าให้ท่านหมอจูอยู่ด้านใน
ในห้องมีแค่พวกเขาสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สำหรับถงซื่อนี่เป็นการทำอะไรเกินตัวครั้งใหญ่
ตอนที่นางเป็นสะใภ้ของบ้านมู่ นางถูกแม่เฒ่าเจียงตบตีหลายครั้งหลายครา ท่านหมอจูหยิบยื่นยาให้นางทา เรื่องเหล่านี้มีพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ แม้แต่มู่เจิ้งหานก็ยังไม่รู้
ท่านหมอจูเป็นผู้มีพระคุณของนาง เขาป่วยจนเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่อาจเมินเฉยได้
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู มือนางสั่นจนผ้าร่วงลงไปบนหน้าของท่านหมอจู
นางหยิบผ้าขึ้นมาเงียบ ๆ แล้วเดินออกไปข้างนอกพลางร้องตอบ “มาแล้ว ใครน่ะ?”
ครั้นประตูเปิดออก เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ประตูก็ถูกปิดฉับลงทันที
นางยืนพิงประตู ลูบอกตนเองด้วยความตื่นตระหนก ทว่าไม่นานก็ตระหนักได้ว่าพวกนางไม่ใช่สามีภรรยากันอีกต่อไปแล้ว มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิด?
มู่ต้าซานไม่มีแม้แต่โอกาสได้พูดก็ถูกถงซื่อปิดประตูใส่ทิ้งไว้ข้างนอก เขาหน้าเปลี่ยนสี เริ่มเคาะประตูอีกครั้ง
ปัง ปัง!
ครั้งนี้เคาะหนักกว่าเดิม
ในใจเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่งงานมานานหลายปี นางช่างใจจืดใจดำโดยแท้ ไม่แม้แต่จะให้โอกาสเขาได้ชดเชย
ถงซื่อไม่เปิดประตู แต่กลับถามเขาผ่านทางประตูว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร?”
“ข้าเก็บฟืนมาให้เจ้า เหตุใดจึงไม่ใช้?” มู่ต้าซานถามเสียงเย็น
ถงซื่อหวาดกลัวมู่ต้าซานที่เป็นเช่นนี้ที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่สีหน้าของเขาเย็นชา นางจะสั่นเทิ้มราวกับกระต่ายตื่นกลัว หวาดหวั่นเกินกว่าจะก้าวออกไป
หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ถงซื่อจะยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวังและยอมรับผิด ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางไม่จำเป็นต้องโมโหเพราะคนบ้านนั้นอีกแล้ว
ถงซื่อกำมือแน่นให้กำลังใจตนเอง เอาคำพูดเหล่านั้นที่มู่ซืออวี่เคยบอกนางมาพูดอีกครั้ง “เจ้าจะเก็บฟืนให้ข้าไปเพื่ออะไร พวกเราไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว”
“แม่หานเอ๋อร์ พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี เจ้าจะต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือ?” มู่ต้าซานนั่งลงบนพื้น น้ำตาไหลรินลงมา เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้ารู้ความผิดของข้าแล้ว”
ถงซื่อรู้สึกขมปร่า
หากนางได้ยินคำเหล่านี้เมื่อสองสามปีที่แล้ว นางไม่รู้ว่าตนเองจะดีใจมากเพียงใด แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ นอกจากความโล่งใจแล้วก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใดอยู่อีก
“เจ้าไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้แล้ว ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไร ตอนนี้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้ามีความสุขมาก ตราบใดที่เจ้าไม่มารบกวนข้าอีก ก็นับว่าดีสำหรับข้าแล้ว”
มู่ต้าซานเคาะประตู “เจ้าเปิดประตูเถิด พวกเรามาคุยกันดี ๆ”
“ไม่มีอะไรให้ต้องพูด เจ้าไปเถอะ หากยังไม่ไปอีกข้าจะร้องแล้วนะ หากลูกอวี่รู้เข้าเจ้าก็รู้นิสัยของนางดี นางจะต้องทำให้เจ้าอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้อีกต่อไปแน่”
เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากข้างใน
ถงซื่อได้ยินเสียงนั้นก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้อง
“หานเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ?” มู่ต้าซานก็ได้ยินเสียงเช่นกัน เขาคิดว่ามู่เจิ้งหานกลับมาแล้ว “แม่หานเอ๋อร์ เจ้าให้ข้าพูดคุยกับหานเอ๋อร์สักสองสามคำ อย่างไรข้าก็เป็นพ่อของเขา”
ถงซื่อไม่สนใจมู่ต้าซานอีกต่อไป นางรีบเข้าไปดูข้างใน
นางพบว่าท่านหมอจูตกลงมาจากเตียง นอนโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น
เช่นนี้ไม่ได้การแล้ว
ก่อนหน้านี้หานเอ๋อร์เป็นไข้ นางดูแลเขาเช่นไร?
ดูเหมือนท่านหมอจูจะเคยสอนนางว่าให้ทำอย่างไร
…
หรีดหริ่งเรไรร้องดังระงม คืนนี้หมู่บ้านอันเงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงครึกครื้น
จือเชียนเดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่บนหลัง
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะเสียงใส เอ่ยกับลู่อี้และมู่ซืออวี่ที่กำลังเก็บไม้อยู่ในลานบ้าน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูซิว่านี่คืออะไร?”
นางกางมือออก จากนั้นผีเสื้อแสนสวยก็บินออกมาจากมือ
“สวยมาก” มู่ซืออวี่เอ่ยชมอย่างจริงใจ “พี่จือเชียนพาเจ้าไปจับมาหรือ?”
“ใช่แล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวต่อ “พี่จือเชียนเก่งมากเลย เขาบินได้ด้วย”
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “จือเชียน เจ้ามีวรยุทธ์ด้วยหรือ?”
“ฮ่าฮ่า ข้าแค่รู้วิชาตัวเบาน่ะ เอาไว้วิ่งหนีเวลาเกิดเรื่อง บางทีอาจจะเกี่ยวกับประสบการณ์วัยเด็กของข้า คนที่มีวรยุทธ์สูงส่งคือพี่คุนต่างหาก”
พี่คุนที่จือเชียนเอ่ยถึงนั่งดื่มสุราอยู่บนหลังคา ความโดดเดี่ยวที่แผ่ออกมาทำให้นางนึกถึงหลี่สวินฮวน*[1] วีรบุรุษในวัยเด็กของนาง
ลู่อี้เอียงศีรษะเข้ามา มองตามสายตาของมู่ซืออวี่ “หล่อหรือ?”
มู่ซืออวี่ผงะตกใจที่จู่ ๆ ลู่อี้ก็โผล่เข้ามา นางผลักหัวเขาออกไป “ผู้คุ้มกันคนนี้ดูลึกลับเหลือเกิน เหมือนทั่วทั้งร่างเขาปกคลุมด้วยกลิ่นอายของตู๋กูฉิ่วป๋าย*[2] แหนะ”
“ขอแค่เขารักษาความปลอดภัยให้เจ้าได้ แปลกประหลาดเพียงใดข้าก็ไม่สนใจ” ลู่อี้เอียงเข้ามาหา “แต่ถ้าเจ้ายังมองเขาอย่างนี้อีก ข้าคงต้องสนใจแล้ว”
มู่ซืออวี่มองไปรอบ ๆ แล้วปรายตามองเขา
ลู่เซวียนไม่แสดงท่าทีใดกับการที่บ้านมีผู้คุ้มกันเพิ่มเข้ามาสองคน
จือเชียนทั้งพูดจาฉะฉานและขยันขันแข็ง ไม่เพียงแต่ทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น ยังเข้ากับเด็กได้ดีอีกด้วย
ตั้งแต่จือเชียนมาที่นี่ ไม่นานลู่จื่ออวิ๋นก็ชอบเขามาก เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ฉลาดเฉลียว รู้จักดูสถานการณ์ นับถือลู่เซวียนเป็นนายท่านรอง แม้แต่ลู่เซวียนที่ไม่ชอบคนแปลกหน้าก็ไม่รู้สึกว่าจือเชียนขวางหูขวางตา
“นายท่านรอง งานจำพวกตักน้ำเช่นนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” จือเชียนเป็นฝ่ายขันอาสาตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ
ลู่เซวียนเอ่ยเบา ๆ ว่า “กลางวันเจ้ายังต้องติดตามพี่ชายของข้า แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพี่ชายข้าให้ดีก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องทำเรื่องอื่น คนในครอบครัวเราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ให้เจ้าเป็นผู้คุ้มกันก็คือเป็นผู้คุ้มกัน ไม่ได้จะให้เจ้าทำงานแทนทุกคนทั้งหมด”
“นายท่านรองกล่าวได้ไม่ผิด เจ้าต้องจดจำไว้ล่ะ” มู่ซืออวี่พูดด้วยท่าทีขึงขังอยู่ข้าง ๆ
ลู่เซวียนปรายตามองนาง “หยุดล้อข้าได้แล้ว”
แค่จือเชียนเรียกเขาว่านายท่านรองก็รู้สึกลำบากใจแล้ว มู่ซืออวี่ยังมาเรียกเขาว่านายท่านรองอีก ชายหนุ่มแทบขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัวแล้ว
มู่ซืออวี่รู้สึกว่าท่าทางของเขาน่ารักจึงหัวเราะออกมา
“อยู่ที่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง?” นางถาม
“พอใช้ได้” ลู่เซวียนกล่าว “จริงสิ ข้าเขียนอีกหนึ่งเล่มเสร็จแล้ว หากเจ้ามีเวลาก็ช่วยส่งไปที่หอหนังสือหงเหวินหน่อย”
“ดูนายท่านรองของพวกเราสิ มีความสามารถในการหาเงินจริงเชียว” มู่ซืออวี่ถอนหายใจ “ข้าก็ต้องทำงานหนักขึ้นถึงจะใช้ได้”
หลังจากกลับมาที่ห้องของพวกเขาแล้ว ลู่อี้ก็ไม่ปล่อยให้นางเข้าไปห้องเล็กข้างใน แต่อุ้มนางไปวางลงบนเตียงห้องใหญ่ทันที
“ท่านจะทำอะไร?” มู่ซืออวี่ผลักเขาออก “ข้าจะไปเอาผ้ามาเช็ดมือ”
“ไม่ใช่ว่าอยากจะหนีเข้าไปข้างในหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ใช่นะ” มู่ซืออวี่ปิดคอเสื้อตนเองไว้ “เหตุใดช่วงนี้ท่านทำตัวแปลก ๆ ถูกยุแยงหรือเปล่า?”
“ยังจำคนผู้นั้นที่เจอวันก่อนได้หรือไม่?” ลู่อี้นอนลงข้าง ๆ นาง “วันนี้ข้าพบเขาที่ศาลาว่าการ ใต้เท้าฉินปฏิบัติต่อเขาอย่างนอบน้อม ดูเหมือนเขาจะเป็นขุนนางจากเมืองหลวง”
“เมืองหลวงหรือ?”
“อืม” ลู่อี้เล่นกับผมยุ่ง ๆ ของนาง “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเจ้าก็เห็นแล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก มีเซี่ยคุนคอยปกป้องเจ้า ข้าถึงจะวางใจ”
“ท่านก็ต้องระวังตัวเช่นกัน” หลังจากมู่ซืออวี่กล่าวจบ นางก็พลิกตัวหันหลังให้เขา
หมู่นี้ระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์แปลก ๆ ไม่ใช่ว่านางสัมผัสไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องตอบรับอย่างไรเท่านั้นเอง
[1] หลี่สวินฮวน หรือ ลี้คิมฮวง ตัวละครจากมีดบินของลี้น้อย มีชีวิตที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวเศร้าหมอง
[2] ตู๋กูฉิ่วป้าย หรือ ต๊กโกวคิ้วป้าย ตัวละครจากกระบี่เย้ยยุทธภพ เป็นตัวละครที่ค่อนข้างลึกลับ เชี่ยวชาญศาตราวุธทุกแขนง