สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 180 มาเถอะ ทุบไข่ทองคำกัน
บทที่ 180 มาเถอะ ทุบไข่ทองคำกัน
บทที่ 180 มาเถอะ ทุบไข่ทองคำกัน
ปัญหายากเข็ญของนายอำเภอฉินคลี่คลายลงแล้ว ลู่อี้จึงอยากขอลาหยุดสองสามวัน ซึ่งอีกฝ่ายก็อนุญาตอย่างใจกว้าง
งานเปิดกิจการของ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ดำเนินไปตามกำหนดการ
เสียงประทัดเปรี้ยงปร้างดังขึ้นชุดใหญ่ ดึงดูดความสนใจของคนเดินถนน
มู่ซืออวี่หยิบฆ้องออกมาเคาะ ตะโกนกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา “วันนี้เรือนกรุ่นฝันเปิดกิจการ! ลูกค้าทุกท่านสามารถทุบไข่ทองคำได้หนึ่งใบโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ในไข่ทองคำมีของขวัญเพียบเชียวล่ะ ท่านทั้งหลายที่เดินผ่านไปมาอย่าพลาดเชียว!”
“ไข่ทองคำรึ ไข่ทองคำคืออะไร? ไข่ที่ทำจากทองคำหรือ?”
“คิดอะไรของเจ้า ไข่ที่ทำจากทองคำเช่นนั้นนางจะเอาให้เจ้าทุบหรือ? จะว่าไปแล้ว ไข่ที่ทำจากทองคำมันทุบได้ด้วยรึ?”
มู่ซืออวี่ได้ยินบทสนทนาของคนเดินถนน จึงอธิบายความหมายของไข่ทองคำให้ฟัง
“ภายในมีรางวัลอะไรหรือ?”
“ใช่ ๆ มีรางวัลอะไรหรือ? คงไม่ใช่ของราคาหนึ่งอีแปะสองอีแปะอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหม?”
“ในไข่ทองคำมีของรางวัลอยู่ทุกใบ น้อยที่สุดคือ 10 อีแปะ รางวัลใหญ่ที่สุดเป็นปิ่นกลัดมวยผมเงินราคา 2 ตำลึง ขอเพียงซื้อของในร้านของเรา ต่อให้ซื้อแค่ม้านั่งราคา 50 อีแปะ ก็สามารถทุบไข่ทองคำได้หนึ่งใบเช่นกัน”
“ฟังดูไม่เลวเลย! ข้าอยากไปลองเสี่ยงโชคดู!”
“ข้าเองก็อยากลองด้วย ถึงจะทุบได้ของถูกที่สุด แต่ได้ซื้อม้านั่งราคาเท่านั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน”
หญิงน้อยใหญ่เข้ามาจนแน่นขนัดร้าน
เวลานี้ลูกจ้างตัวสูงใหญ่อย่างต้าหนิวและเอ้อร์หนิวมีประโยชน์มาก เมื่อทั้งสองเข้ามายืนอยู่ในร้าน ผู้หญิงเหล่านั้นก็ถูกข่มขวัญทันที
“ลูกค้าทุกท่าน โปรดเข้าแถวด้วยขอรับ!” ต้าหนิวตะโกน “อย่าเบียดกัน! ระวังเหยียบผู้อื่นด้วยขอรับ”
หลี่หงซูลงมาจากรถม้า มองสถานการณ์อันครึกครื้นนี้ ทั้งยังเห็นกิจกรรมทุบไข่ทองคำอีกด้วย ทันใดนั้นแววตาของนางก็ราวกับมีความคิดบางอย่าง
“ข้าต้องการซื้อ ‘โซฟา’ ตัวนั้น” นางพูดกับมู่ซืออวี่ “ขายอย่างไร?”
“โซฟาตัวนั้นยามนี้มีเพียงแค่ตัวเดียว ร้านของเราจะวางขายเพียงเดือนละหนึ่งตัวเท่านั้น เช่นนั้นราคาของมันคือ 70 ตำลึง” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ
“ข้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของท่าน ลดให้ข้าสักนิดมิได้หรือ?”
“ถ้าหากคุณหนูหลี่ต้องการทำบัตรสมาชิกละก็ ข้าจะลดให้ท่านจ่ายเพียงแปดส่วน ทว่า หากจะซื้อบัตรรายปีต้องจ่ายเงิน 100 ตำลึง”
หลี่หงซู “…”
ชิงไต้มุ่ยปาก “เถ้าแก่เนี้ย ท่านช่างชั่วร้ายนัก บัตรสมาชิกรายปี 100 ตำลึง ลดราคาให้สองส่วน เช่นนั้นโซฟาตัวนี้ก็ราคา 56 ตำลึง คุณหนูของเราก็ต้องจ่าย 100 ตำลึงเพื่อให้ได้ส่วนลดน่ะสิ”
“หาใช่เช่นนั้นไม่ สมาชิกนั้นไม่เพียงสามารถลดราคาได้สองส่วนเท่านั้น ต่อไปหากมีสินค้าใหม่อะไรก็จะแจ้งให้สมาชิกรู้ก่อนด้วยเช่นกัน ยังไม่หมดนะ คุณหนูหลี่ ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าบูรณะห้องใหม่หรอกหรือ? นั่นก็จ่ายเพียงแปดส่วนเช่นเดียวกัน”
ชิงไต้มองไปทางหลี่หงซู “คุณหนู หากว่าคำนวณเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าทีเดียวนะเจ้าคะ”
มู่ซืออวี่พยักหน้ารัว ๆ “คุ้มค่า คุ้มค่า!”
“เด็กโง่ เจ้าหลงกลนางแล้ว” หลี่หงซูเอ่ย “หากทำบัตรสมาชิกแล้ว ก็จะมัวแต่คิดอยู่ทั้งวันว่าค่าบัตรแพงขนาดนี้ หากไม่ใช้ส่วนลดนั้นก็ขาดทุนเกินไป ต่อไปหากขาดเหลืออะไรก็จะมาที่เรือนกรุ่นฝันก่อน เช่นนั้นจะไม่ใช่ว่าถูกผูกมัดไว้กับที่นี่อย่างนั้นหรอกหรือ?”
“เถ้าแก่เนี้ย ท่านช่างชั่วร้ายอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย!” ชิงไต้พูด
มู่ซืออวี่หัวเราะขึ้นมา “ก็ทำธุรกิจนี่นา ย่อมต้องอยากดึงลูกค้าไว้อยู่แล้ว แต่ข้าขอรับประกันกับทุกท่านว่าเงินที่จ่ายไปจะคุ้มค่าแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นโซฟานี้ก็มีขายเพียงที่นี่ที่เดียวมิใช่หรือ ไม่มีที่อื่นอีกแล้ว”
“รู้อยู่แท้ ๆ ว่าท่านเป็นแม่ค้าหน้าเลือด ข้าก็ยังต้องซื้อของของท่านอย่างเต็มอกเต็มใจ สิ่งที่เรียกว่าโซฟานี้ข้าชอบใจเสียจริง ท่านให้คนเอาไปส่งที่บ้านข้าแล้วกัน! ชิงไต้ จ่ายเงิน”
“มาเถอะ ทุบไข่ทองคำกัน” มู่ซืออวี่รับตั๋วเงิน แล้วส่งตั๋วเงินให้ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ เก็บไว้ จากนั้นจึงพาหลี่หงซูไปทุบไข่ทองคำอีกด้านหนึ่ง
“นั่นคือสามีของท่านหรือ?”
“อื้ม”
“รูปงามจริงเชียว! ได้ยินว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการด้วย” หลี่หงซูสะกิดไหล่อีกฝ่าย
มู่ซืออวี่พยักหน้าอย่างเขินอาย “ใช่แล้ว”
หลี่หงซูหยิบค้อนเล็ก ๆ ทุบไข่ทองคำใบหนึ่งจนกระดาษใบหนึ่งปลิวออกมา
เมื่อเปิดแผ่นกระดาษออกดู ในนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘มอบกล่องเครื่องแป้งให้หนึ่งใบ’
“อะไรคือกล่องเครื่องแป้งหรือ?” หลี่หงซูได้ยินว่าเป็นกล่องใบหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
คนอย่างนางจะไม่มีกล่องใส่ของหรืออย่างไรกัน
จือเชียนที่อยู่ข้าง ๆ รีบไปหยิบรางวัลมา
เมื่อเปิดกล่องออก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือกระจกแก้วบานหนึ่ง ส่องรูปโฉมได้อย่างชัดแจ้ง ในกล่องนั้นมีช่องว่างมากมาย สามารถใส่เครื่องประทินผิวต่าง ๆ ได้
“โอ้ ไม่เลวเลยนี่” หลี่หงซูเอ่ยขึ้น “กระจกแก้วบานนี้ไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ!”
“นั่นเป็นเพราะท่านโชคดี ไข่ทองคำสุ่มของกำนัล แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่ใส่อยู่ภายในคืออะไร แต่ท่านก็ทุบเจอหนึ่งในรางวัลใหญ่ทันทีเลยเชียว”
“เงินนี้ไม่ได้ใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ ข้าชอบนัก” หลี่หงซูเอ่ย “ท่านไปหามาจากไหนกัน? เมื่อก่อนข้าเองก็อยากซื้อสักชิ้น แต่มันหาซื้อได้ยากเกินไป”
มู่ซืออวี่เหลือบมองลู่อี้แวบหนึ่ง หลี่หงซูจึงเข้าใจขึ้นมาทันที
“ข้าทุบได้ปิ่นเงินแล้ว!” เสียงอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
ทุกคนมองไปตามเสียง คาดไม่ถึงว่าผู้ที่ทุบเจอปิ่นเงินนั้นเป็นหญิงชนบททั่วไปคนหนึ่ง เสื้อผ้าบนตัวนางปะแล้วปะอีก ถึงจะดูไม่มีอันจะกิน แต่ยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“โชคดีจริงเชียว!”
“ของข้าเป็นเงิน 10 อีแปะ”
“ของข้าเป็นข้าว 5 ชั่ง”
“ของข้าก็ไม่ธรรมดา เกลือตั้งสองถุง”
เกลือในยุคนี้เป็นของฟุ่มเฟือย ชาวบ้านมากมายนั้นเดิมทีไม่อาจซื้อได้ไหว หรือต่อให้ซื้อไหวก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาซื้อได้
มู่ซืออวี่เห็นความกระตือรือร้นของทุกคนสูงขึ้นพรวดพราดก็หยิบฆ้องทองแดงขึ้นมาเคาะอีกครั้ง “ทุกท่าน ของรางวัลมีจำกัด อย่าลุ่มหลงอยู่กับมันเด็ดขาด นี่เป็นเพียงการละเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
“วางใจได้ พวกเราแค่เล่นสนุก”
“ใช่แล้ว ไม่ฉกของของเจ้าไปหรอกน่า”
มู่ซืออวี่ “…”
เอาเถอะ! ไม่ฟังก็ช่าง
โชคดีที่นางเตรียมม้านั่งตัวเล็กเอาไว้ไม่น้อย ม้านั่งแบบนั้นแข็งแรงทนทาน และที่สำคัญคือพกพาสะดวก สามารถหยิบใช้ได้อย่างว่องไว
“คุณหนูหลี่ เหตุใดซูอวี้ไม่มาด้วยเล่า? ข้ายังนึกว่านางจะมาร่วมครึกครื้นด้วยเสียอีก” มู่ซืออวี่เห็นทุกคนต้อนรับลูกค้ากันอย่างเป็นระเบียบก็หันมาคุยกับหลี่หงซูอย่างวางใจ
ถึงอย่างไรก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของตน ต้องสร้างความสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี
“นางน่ะหรือ ช่วงนี้กำลังทำสงครามกับพี่หญิงใหญ่ของนางอยู่น่ะสิ! รอให้นางผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปก่อน เดี๋ยวคงจะมาหาท่านเอง” หลี่หงซูแสดงสีหน้าเห็นใจ “ข้ามีกิจ ขอตัวก่อน ท่านยุ่งกับตรงนี้เสร็จแล้วอย่าลืมเรื่องของข้าล่ะ”
“ไม่ลืมหรอก”
หนึ่งวันอันยุ่งเหยิงสิ้นสุดลง ของชิ้นเล็กในร้านแทบจะขายจนเกลี้ยง ที่เหลืออยู่มีเพียงของชิ้นใหญ่ ๆ โชคดีที่ในคลังของนางยังมีของชิ้นเล็กอยู่อีก ไม่อย่างนั้นวันต่อไปคงไม่มีสินค้าขายเป็นแน่ เช่นนั้นต้องน่าขายหน้าไม่น้อย
กิจกรรมวันเปิดกิจการต้องจัดต่อเนื่องสามวัน วันที่สองยังต้องยุ่งกันต่อ มู่ซืออวี่ให้ทุกคนรีบปิดร้าน พักผ่อนกันเร็วสักหน่อย ส่วนนางก็นั่งรถม้าที่เซี่ยคุนคุมบังเหียนกลับหมู่บ้าน
รถม้าที่หนุ่มน้อยจือเชียนขับก็มีคนนั่งแล้ว มู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่ก็ควรหยุดตรากตรำแล้วเช่นกัน
“คาดไม่ถึงว่าบ้านเราจะมีผู้คุ้มกัน” มู่เจิ้งหานแสดงสีหน้าประหลากใจ “ฉาวอวี่ เจ้าไม่ตะลึงเลยหรือ?”
“มีอะไรให้น่าตะลึงกัน” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างราบเรียบ “เอาเวลาว่างนี้ไปท่องบทเรียนใหม่ที่ท่านอาจารย์สอนเถอะ!”
มู่เจิ้งหาน “…”
เขาขอไม่อยู่ชั้นเรียนเดียวกับหลานชายได้ไหม?