สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 189 อยากให้เด็กผู้หญิงได้เล่าเรียนเช่นกัน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 189 อยากให้เด็กผู้หญิงได้เล่าเรียนเช่นกัน
บทที่ 189 อยากให้เด็กผู้หญิงได้เล่าเรียนเช่นกัน
บทที่ 189 อยากให้เด็กผู้หญิงได้เล่าเรียนเช่นกัน
มู่ซืออวี่เห็นทุกคนเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อก็รู้สึกยินดี
นางไม่กลัวศัตรูที่เหมือนหมาป่า ทว่ากลัวสหายที่สมองหมู*[1] มากกว่า
เท่ากับว่านี่เป็นการเตือนพวกเขาด้วยเช่นกัน หากพวกเขาทำความผิดพลาดเช่นนี้ นางก็จะไม่ปล่อยไป อย่าได้คิดว่าเพียงเพราะนางใจดี พูดคุยหยอกล้อด้วยได้ แล้วพวกเขาจะลอบทำอะไรใต้จมูกนางได้
“ยังมีอีกเรื่อง” มู่ซืออวี่มองทุกคน “ข้าอยากจะรับศิษย์สักสองคน พวกท่านมีใครสนใจในงานไม้หรือไม่?”
ทุกคนประหลาดใจ “พวกเราจะทำได้หรือ?”
“ข้าไม่รู้” มู่ซืออวี่ตอบด้วยความสัตย์จริง “นี่เป็นงานที่ละเอียดอ่อน ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับงานฝีมือประเภทนี้ ข้าเพียงแค่ถามพวกท่านก่อนว่าใครสนใจ ข้าสอนให้ได้ ภายในหนึ่งเดือนข้าจะเลือกศิษย์สองคน แต่ถ้ามาเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ก็ต้องทำตามกฎของข้า ภายในเวลาสิบปีจะไปจากร้านของข้าไม่ได้ หลังจากสิบปีแล้วจึงสามารถไปเริ่มต้นใหม่ได้ เรียนวิชาไปคุ้มค่าแน่นอน หลังจากนี้คงสร้างเงินให้เขาได้ไม่น้อย”
นางทำคนเดียวไม่ไหว ภายหน้ายังต้องการคนช่วย เทียบกับการที่ใครก็สามารถเรียนงานฝีมือของนางได้ การเลือกคนโดดเด่นออกมาสักสองคนมาฝึกย่อมดีกว่า
แน่นอนว่าลูกศิษย์ที่นางเอ่ยถึงย่อมเป็นคนที่มีฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษ งานทั่ว ๆ ไปสามารถสอนให้คนอื่น ๆ ได้ ถึงแม้คนอื่น ๆ จะไม่ได้เป็นศิษย์ของนาง ภายหลังพวกเขาก็สามารถหางานกับช่างไม้คนอื่นได้
เพียงแต่คนอื่น ๆ ต้องทำสัญญากับนางห้าปีเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะไม่เปลี่ยนงานภายในห้าปี ถ้าอยากจะเปลี่ยนงาน ต้องจ่ายค่าลบสัญญาจำนวน 100 ตำลึง
มู่ซืออวี่อธิบายรายละเอียดของเรื่องนี้โดยชัดเจน นางยังอธิบายอีกว่า หากมาเป็นศิษย์ของนางแล้ว นางจะไม่เก็บซ่อนเคล็ดลับที่นางมี อีกทั้งจะสอนทักษะทั้งหมดให้พวกเขา
คนในยุคสมัยโบราณให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์ กระทั่งมีคำกล่าวที่ว่า ‘เป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบดั่งเป็นบิดาตลอดชีวิต’ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องไตร่ตรองให้ดี
“ข้าอยากเป็นศิษย์เจ้า” เฟิงเจิงเป็นคนแรกที่ประกาศจุดยืนออกมา
เมื่อเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ มู่ซืออวี่ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เด็กคนนี้แสดงความเคารพนับถือลู่อี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงได้เคารพนับถือนางเช่นกัน
คนอื่น ๆ เริ่มลังเล ฝีมือของมู่ซืออวี่เป็นอย่างไร พวกเขาล้วนเห็นกับตา อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ว่ามีได้เพียงสองคนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดี
“ข้าจำเป็นต้องบอกพวกท่านไว้ก่อน ในระยะเวลาสิบปีนี้ ข้าอาจจะไปจากเมืองฮู่เป่ย พวกท่านอยากเป็นศิษย์ของข้า พวกท่านต้องคำนึงว่าอยากจะไปจากที่นี่เพื่อพัฒนาตนเองหรือไม่ หากไม่คิด…”
นางไม่ได้เอ่ยให้จบ ทว่าความหมายกลับชัดเจน หากไม่มีความคิดที่จะไปจากที่นี่เพื่อพัฒนาตนเอง ก็ไม่ต้องรับโอกาสนี้ไว้
มู่ซืออวี่ให้เวลาพวกเขาไตร่ตรอง นางต้องจับตามองผู้ที่มีความสามารถเช่นกัน
หลังจากพูดคุยเรื่องนี้แล้ว นางก็เข้าไปทำงานต่อ ง่วนอยู่กับงานที่ทำล่าช้ามาสองสามวันนี้
การทำงานร่วมกับสกุลเจิ้งดำเนินต่อไป ทุก ๆ เดือนจะมีเส้นตายในการส่งของ เมื่อเห็นว่าเหลือไม่ถึงสามวันแล้ว นางก็จำต้องเร่งมือทำงาน
เพิ่งจะถึงยามโหย่ว*[2] เซี่ยคุนบังคับรถม้าผ่านประตูศาลาว่าการ ก็เห็นลู่อี้และจือเชียนออกมาพอดี
สายตาอันว่องไวของจือเชียนมองเห็นเซี่ยคุนทันที เด็กหนุ่มยกมือขึ้นโบก “พี่คุน!”
ลู่อี้ได้ยินเสียงจึงมองตามไป จึงเห็นรถม้าของพวกเขาพอดี
เซี่ยคุนหยุดรถม้า
มู่ซืออวี่เปิดม่านออก “พวกท่านเตรียมตัวจะกลับแล้วหรือ?”
“พวกเราจะต้องไปที่หมู่บ้านหลันฮวา คืนนี้ไม่กลับไปแล้ว ลู่อี้พูดจบก็เอ่ยกับเซี่ยคุน “ต้องรบกวนพี่เซี่ยคุ้มครองฮูหยินกลับไปแล้ว”
“อืม” เซี่ยคุนส่งเสียงตอบรับอย่างราบเรียบ
นักการเกาที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า “สะใภ้ลู่ เดิมทีเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้จู่ปู้ลู่ไป ทว่าคดีนี้ประหลาดมาก จู่ปู้ลู่เป็นคนฉลาดหลักแหลม เป็นข้าเองที่อยากพาเขาไปดูเสียหน่อย แหะ ๆ”
“พี่เกาชอบเรียกใช้เขา ก็แสดงว่าเขามีความสามารถ ไม่มีอะไรให้ข้าภาคภูมิใจเท่านี้อีกแล้ว เช่นนั้นพวกท่านก็ไปเถอะ!” มู่ซืออวี่กล่าว “ช่วงนี้พวกท่านผอมลงใช่หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะนำของอร่อย ๆ มาให้ทาน”
แววตาของนักการเกาเปล่งประกาย “เยี่ยม พวกเราผอมลงจริง ๆ สะใภ้ลู่ ท่านดูข้าสิ พุงของข้าไม่เหลือแล้ว โปรดนำของกินมามาก ๆ หน่อย จะได้ชดเชยน้ำหนักที่เราเสียไป”
ลู่อี้มองอีกฝ่ายด้วยหางตา “ท่านไม่มียางอายหรือ?”
“ก็ไม่มีน่ะสิ” นักการเกาหัวเราะ “หน้าตานับเป็นสิ่งใด กินดื่มเที่ยวเล่นสำราญใจสิคือสิ่งที่สำคัญที่สุด งานอย่างเช่นเรา ๆ ไม่รู้ไปล่วงเกินคนมากน้อยเพียงใด ฉะนั้นข้าไม่อยากรักษาหน้าตาไว้หรอก ไม่เช่นนั้นคงอยู่มาไม่ถึงวันนี้”
มู่ซืออวี่คิดว่านักการเกาเป็นคนน่าสนใจ อยากช่วยลู่อี้รักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ อย่าได้มองว่าเขาเป็นเพียงนักการคนหนึ่ง ดูจากหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว เขานับว่าเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถช่วยลู่อี้ทำหลายเรื่องให้ลุล่วงได้
หลังจากแยกกัน รถม้าของพวกเขาก็เคลื่อนกลับไปยังหมู่บ้าน
ประตูเมืองจะปิดทุกวัน หากเดินทางล่าช้าอาจออกจากเมืองไม่ทัน
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งเข้ามา
มู่ซืออวี่อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแล้วขยี้ผมนาง “วันนี้เจ้าทำอะไรหรือ?”
“วันนี้ข้าพานางไปสำนักศึกษา” ลู่เซวียนถามต่อไปว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง พี่สะใภ้ฟังดูได้หรือไม่?”
“ได้”
“ข้าอยากให้เด็กผู้หญิงได้เล่าเรียนเช่นกัน” ลู่เซวียนมองมู่ซืออวี่ด้วยแววตามุ่งมั่น “เด็ก ๆ ในสำนักศึกษายังเด็กนัก ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาเรื่องชายหญิง หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเด็กผู้หญิงจะเรียนเขียนอ่านไม่ได้เล่า”
มู่ซืออวี่มองลู่เซวียนอย่างชื่นชม
ยามนี้เขาเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา แววตาเปล่งประกาย ราวกับด้านในสูบฉีดด้วยพลัง
“เป็นความคิดที่ดี แต่จะมีสักกี่ครอบครัวกันที่จะยินดีส่งลูกสาวไปสำนักศึกษา”
ครอบครัวชาวไร่ชาวนาทั่วไปอยากให้ลูกชายได้เล่าเรียน เพื่อจะได้เหนือกว่าคนอื่น แต่สำหรับลูกสาวแล้วกลับไม่มีความคิดเช่นนี้ พวกเขาเพียงรู้สึกว่าลูกสาวแต่งงานไปแล้วก็เหมือนสาดน้ำทิ้ง คนที่รักใคร่ลูกสาว อย่างมากก็ปล่อยให้นางทำงานไร่งานสวน ส่วนคนที่รักใคร่ถนอมลูกชายมากกว่าลูกสาวก็เฝ้ารอแต่จะรีดเอามูลค่าสุดท้ายจากลูกสาวของพวกเขา
“ไม่สำคัญ ขอแค่เพียงข้าประกาศออกไป ในไม่ช้าย่อมต้องมีคนยินดีส่งไปเรียนแน่นอน คนที่ไม่ยินดีพวกเราก็ไม่บังคับ ท่านรู้หรือไม่ ตอนอยู่ที่สำนักศึกษา อวิ๋นเอ๋อร์ทำให้พวกเราได้เชิดหน้าชูตาเพียงใด เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าเด็กชายคนอื่น ๆ เสียอีก”
มู่ซืออวี่หันมามองลู่จื่ออวิ๋น “จริงหรือ?”
“อวิ๋นเอ๋อร์คิดว่าเรียนหนังสือน่าสนใจมากเลย ท่านแม่ ข้าตามท่านอาไปได้หรือไม่?”
สำนักศึกษาในเมืองไม่อนุโลมให้ เนื่องจากไม่มีกฎเช่นนี้ แต่ถ้าตามลู่เซวียนไป ย่อมไม่เป็นไร
“ก็ได้”
“ท่านแม่ของข้าดีที่สุด” ลู่จื่ออวิ๋นกอดขาของมู่ซืออวี่อย่างดีอกดีใจ “เช่นนั้นต่อไปข้าก็ไม่ต้องเหงาอยู่ที่บ้านทุกวันอีกแล้ว ทั้งยังมีการศึกษาอีก”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อจตุรสมบัติมาให้เจ้า” มู่ซืออวี่กล่าว “จะให้ท่านยายทำห่อผ้าใส่ของให้เจ้าทีหลัง ภายหน้าจะได้พกพาสิ่งของได้สะดวก”
เซี่ยคุนมองภาพมารดาใจดีและลูกสาวกตัญญูรู้ความ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
รอยยิ้มน่ารักบนใบหน้าของลู่จื่ออวิ๋นสะท้อนภาพของเด็กน้อยคนนั้นในความทรงจำขึ้นมา
“จริงสิ น้องสามี วันนี้ข้าได้พบกับแม่นางอิงเกอผู้นั้น” จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็หันไปมองลู่เซวียนแล้วเอ่ยว่า “นาง…ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว”
[1] สมองหมู หมายถึง โง่เขลา
[2] ยามโหย่ว คือ เวลา 17.00 -19.00 น. เป็นการนับเวลาแบบจีนโบราณ หนึ่งวันมีทั้งหมด 12 ชั่วยาม