สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 199 เจตนาของเจียงเหล่า
บทที่ 199 เจตนาของเจียงเหล่า
บทที่ 199 เจตนาของเจียงเหล่า
“ไม่มีขอรับ”
ผู้ใดจะมีข้อโต้แย้งเล่า?
เจ้านายเช่นนี้ดีราวกับเทพธิดาเลยไม่ใช่หรือ?
ค่าแรงขั้นต้นคือ 500 อีแปะ อย่างน้อยควรขายได้ประมาณ 5 ตำลึงเงินต่อเดือน หากขายไม่ได้ก็จะลดค่าแรงลง แต่จากที่พวกเขาลองสังเกตดู กิจการเรือนกรุ่นฝันดีมาก สามารถทำตามข้อกำหนดได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปลืองน้ำลายด้วยซ้ำ
ยิ่งมีค่าตอบแทนการขายยิ่งกระตุ้นให้อยากทำงานมากขึ้น
“ซืออวี่” เจิ้งซูอวี้เดินเข้ามา “ไม่ได้พบกันนาน”
“คุณหนูซูอวี้” มู่ซืออวี่ให้คนอื่น ๆ แยกออกไปก่อน จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “พบท่านยากจริงเชียว ไม่เจอท่านนานแล้ว ไปเถอะ พวกเราไปดื่มชาที่ห้องตำราของข้าดีกว่า”
ในห้องตำรา มู่ซืออวี่เทชาให้เจิ้งซูอวี้ จากนั้นค่อยเทชาอีกถ้วยให้ชิวซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชิวซวงเป็นเพียงสาวใช้ นางจึงไม่กล้ารับชาไป ได้แต่กล่าวขอบคุณ
เจิ้งซูอวี้ถือถ้วยชาไว้แล้วเหลือบมองชิวซวง ชิวซวงจึงหยิบถุงเงินออกมาวางไว้ตรงหน้ามู่ซืออวี่
“นี่คือ…” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นขณะเปิดถุงเงินดูและเห็นเป็นเงินก้อนที่หนักอึ้ง
“นี่เป็นค่าฉีกสัญญา” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ตอนนั้นที่พวกเราเขียนหนังสือสัญญา พวกเขาไม่รู้แต่ข้ารู้ ข้ารู้ว่าระยะนี้พวกเขาไม่รับสินค้าของพวกเจ้า ดังนั้นนี่นับว่าเป็นการผิดสัญญา”
มู่ซืออวี่ไม่ปฏิเสธ นางเก็บเงินถุงนั้นลงในลิ้นชัก แล้วมองเจิ้งซูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า
“เรื่องการค้าจบแล้ว พูดถึงเรื่องท่านเถอะ ข้าเคยไปหาท่านที่ร้าน แต่ข้ากลับเห็นคุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้นางชนะใช่หรือไหม?”
เพียงแต่ที่ชนะไม่ใช่การค้าขาย แต่เป็นชนะใจฮูหยินเฒ่าสกุลเจิ้ง ได้ยินมานานแล้วว่าหญิงชราชอบครอบครัวสายหลักมากกว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง
เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ทำให้เจ้าขบขันแล้ว”
“ท่านยอมรับความพ่ายแพ้แล้วหรือ?”
“ไม่หรอก” สีหน้าของเจิ้งซูอวี้มืดครึ้มลง “ข้าจะไม่ยอมแพ้”
“ข้านับถือความเด็ดเดี่ยวของท่านจริง ๆ” มู่ซืออวี่ไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป
“ข้าไปดูหงซูมา” เจิ้งซูอวี้เอ่ยถึงเรื่องของสกุลหลี่ “สกุลหลี่โกลาหลยิ่งนัก นางดูอาการไม่ค่อยดีนัก หากจะกล่าวไปแล้วนางก็เป็นคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คนหนึ่ง”
มู่ซืออวี่ไม่ตอบ นางไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของสกุลหลี่
เจิ้งซูอวี้นั่งอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็กลับไป นางมาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อจ่ายค่าฉีกสัญญา ตอนนี้มู่ซืออวี่รับไปแล้ว นับว่ามีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด ถือว่าเป็นการให้เหตุผลกับนางแล้ว
มู่ซืออวี่นับสิ่งของของตน ถึงแม้จะมีหลายร้อยตำลึงแล้ว นางก็ยังรู้สึกไม่อุ่นใจ อย่างไรเสียตอนนี้นางก็มีคนงานที่ต้องดูแล ไม่อาจเลินเล่อได้
ในยามบ่าย ลู่อี้รีบร้อนพานักการเกาและคนอื่น ๆ ไปยังจวนตระกูลเจียง
ในโถงรับรองของจวนมีบัณฑิตราว ๆ สิบกว่าคน บ่าวรับใช้ห้าคน และเจียงเหล่าที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เมื่อครู่นี้บ่าวรับใช้ไปแจ้งเหตุ กล่าวว่าสิ่งของของเจียงเหล่าสูญหาย นายอำเภอฉินจึงไม่วางใจ จำต้องให้ลู่อี้มาที่นี่ด้วยตนเอง
ท่ามกลางบัณฑิตเหล่านี้มีคนที่ลู่อี้คุ้นเคยรวมอยู่ด้วย อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งชายหนุ่มก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้ ในเมื่อเขาเคยเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด เขาย่อมมีคนคอยเกลียดชังอยู่ด้วยเช่นกัน
ลู่อี้จำทุกคนได้ พวกเขาก็จำลู่อี้ได้เช่นกัน ลู่อี้แต่งชุดทางการเดินเข้ามาพร้อมนักการหลายสิบคน แผ่ความน่าเกรงขามออกมาไม่น้อย
“เจียงเหล่า”
“จู่ปู้ลู่” เจียงเหล่าเอ่ยเสียงขรึม “ครั้งนี้ต้องรบกวนเจ้าสักเที่ยวแล้ว”
“เจียงเหล่าเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งของของเจียงเหล่าที่ถูกขโมยไปคืออะไรหรือขอรับ?”
“เป็นจี้หยก มันอยู่กับข้ามานานนับทศวรรษแล้ว ตอนนี้กลับถูกขโมยไปในบ้านของตน”
ลู่อี้มองดูบัณฑิตสิบกว่าคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจียงเหล่ากำลังจัดงานเลี้ยงหรือ?”
“ไม่ผิด ข้าจัดงานชุมนุมกวี เชิญบัณฑิตมากความสามารถในเมืองฮู่เป่ยมาชุมนุมกัน” เจียงเหล่าขมวดคิ้ว
“ไม่ทราบว่าเจียงเหล่าพบว่าของหายไปเมื่อไหร่ขอรับ?” ลู่อี้ถามอีกครั้ง
ครั้งนี้เจียงเหล่าไม่เอ่ยปาก กลับเป็นฟางโจวอวี่ที่เปิดปากขึ้น “สองเค่อก่อนหน้านี้ ตอนที่ไปแจ้งเหตุนั่นล่ะ จี้พกนั้นเป็นหยกอ่อนสีดำ ข้างบนสลักลวดลายเอาไว้”
“ลวดลายอะไรหรืือ?”
ฟางโจวอวี่ขมวดคิ้ว “ไม่ทราบ”
“เหยี่ยว” อันอี้หางตอบเรียบ ๆ “เป็นเหยี่ยวร้องไห้ตัวหนึ่ง”
ทุกคนหันไปมองอันอี้หางด้วยความประหลาดใจ
ขุนนางขั้นสูงเช่นนี้จะพกจี้หยกสลักลายเหยี่ยวร้องไห้ได้อย่างไร? ทว่าเจียงเหล่ากลับไม่ปฏิเสธ หรือว่าจะเป็นความจริง?
“จี้หยกอันนั้นหายไปเป็นเวลาสองเค่อ เพราะตอนที่สหายฟางกำลังแต่ง ‘บทกวีดอกโบตั๋น’ ข้างเอวเจียงเหล่าก็ไม่มีจี้หยกอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นคิดว่าเจียงเหล่าจงใจปลดไป เรื่องนี้จึงยังไม่ได้กล่าวถึง” อันอี้หางให้เบาะแสเพิ่มเติม
“ตอนนี้ข้าอยากถามคำถามกับทุกคน” ลู่อี้กล่าว “ในตอนที่ข้าเรียกใครนั้น รบกวนตามข้าเข้าไปในห้องข้าง ๆ”
เจียงเหล่านั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเยือกเย็น ปล่อยให้ลู่อี้ทำการสืบสวน
เดิมทีบัณฑิตเหล่านี้ล้วนหยิ่งยโส ตอนนี้กลับถูกไต่สวนในฐานะผู้ต้องสงสัย ไม่ว่าจะซ่อนเร้นไว้ดีเพียงใด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผยความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าและสายตา
ทว่ากลับมีสองคนที่เป็นข้อยกเว้น
“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตข้า ใต้เท้าได้โปรดไว้ชีวิตข้า…” บ่าวรับใช้คนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นร้องขอความเมตตา
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงเหล่าถาม
นักการเกานำตัวบ่าวรับใช้สีหน้าซีดเผือดออกมาโยนเข้าไปกลางห้องโถง แล้วเอ่ยว่า “มือเท้าของคนผู้นี้ไม่สะอาด เขาขโมยเงินไปหลายตำลึงเงิน ทุกท่านโปรดตรวจดูว่าถุงเงินหายไปหรือไม่”
เหล่าบัณฑิตควานหาดูถุงเงินของตน
“ถุงเงินของข้าหายไปแล้ว”
“ของข้าก็หายไปเช่นกัน”
เจียงเหล่าเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ช่างกล้านัก ถึงกับกล้าทำให้จวนของข้าอับอายขายหน้า ลากออกไปตีให้ตาย!”
“ใต้เท้าโปรดอย่าเพิ่งวู่วาม” ลู่อี้ก้าวออกมา “ใครให้เจ้าขโมยถุงเงิน?”
“เรื่องนี้…”
“หากตอนนี้เจ้ายังไม่พูดออกมาอีก เช่นนั้นก็จะไม่เหลือโอกาสรอดชีวิตแล้วจริง ๆ”
“เป็นคุณชายผู้หนึ่งขอรับ เขาบอกให้ขโมยถุงเงินของแขกเหล่านี้ระหว่างงานชุมนุมกวี ถึงแม้พวกเขาจะพบเข้าก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรแน่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นจวนตระกูลเจียง พวกเขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินนายท่านเจียง” บ่าวรับใช้คนนั้นตัวสั่นเทิ้ม “ผู้น้อยเดิมทีเคยเป็นหัวขโมยข้างถนน คนผู้นั้นให้ข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ที่นี่ ผู้น้อยอยากทำงานนี้มากจึงฟังคำเขา ผู้น้อยผิดไปแล้วขอรับ”
“จี้หยกนั้นเจ้าก็ขโมยด้วยหรือ?” ฟางโจวอวี่ถาม
“ไม่ขอรับ จี้หยกไม่ได้ขโมย ผู้น้อยไม่กล้า” บ่าวคนนั้นรีบโบกมือปฏิเสธ
“ใต้เท้า ในจวนของท่านมีสิ่งสำคัญหรือไม่ขอรับ? เกรงว่าขโมยตัวจริงเพียงแค่ต้องการหลอกล่อให้เสือออกห่างจากภูเขา เพื่อให้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาสำเร็จ” อันอี้หางเอ่ยขึ้น
จี้หยกถูกขโมยไปทำให้ต้องแจ้งเหตุกับทางการ หลังจากแจ้งเหตุกับทางการแล้วย่อมต้องมีการสืบสวนโดยละเอียด การสืบสวนครั้งนี้ทำให้พบขโมยที่ฉกถุงเงินไป ตอนนี้ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่ห้องโถง ทว่าในสวนด้านหลังนั้น…
“นายท่าน!” คนคุ้มกันรีบร้อนเข้ามาในห้องโถง “ห้องตำราถูกปล้นแล้วขอรับ”
เจียงเหล่าลุกขึ้นแล้วรีบสาวเท้าออกไปทันที
ลู่อี้ส่งสัญญาณ นำนักการเกาและคนอื่น ๆ ตามไป
“พวกเราจะทำอย่างไร?” มีคนถามขึ้นมา
“อยู่ที่นี่รอเงียบ ๆ!”
อันอี้หางลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงตามไป
“เหตุใดสหายอันจึงตามไปเล่า? หากไปล่วงเกินเจียงเหล่าผู้นั้นจะทำอย่างไร?”
สีหน้าของฟางโจวอวี่มืดครึ้มลง เขาเดินตามไปเช่นกัน
เมื่อมาถึงเรือนด้านหลัง เจียงเหล่าก็หยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมามองทั้งสองคนที่ตามเขามา
“พวกเจ้าช่างกล้านัก”
อันอี้หางและฟางโจวอวี่รีบทำความเคารพทันที
ฟางโจวอวี่เอ่ยว่า “ข้าน้อยอยากพยายามสุดความสามารถขอรับ”
“ข้าน้อยก็เช่นกัน”
“ไม่เลว ราชสำนักต้องการคนที่กระตือรือร้นและกล้าหาญอย่างพวกเจ้า” เจียงเหล่ากล่าว “เรื่องหลังจากนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถอะ”
“แล้วจี้หยก…” ฟางโจวอวี่เอ่ยถาม
เจียงเหล่ามองลู่อี้ที่เดินเข้ามา “จู่ปู้ลู่อาจจะหาเจอแล้วกระมัง”
ในมือของลู่อี้ถือจี้หยกเอาไว้ หน้าตาเหมือนที่พวกเขาอธิบายไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อครู่นี้ลู่อี้ไปที่ห้องน้ำ และเจอมันอยู่นอกห้องน้ำ
“เจียงเหล่า ส่งของกลับคืนขอรับ”
คนสนิทข้างกายเจียงเหล่ารับไป
“จู่ปู้ลู่ ห้องตำราของข้าถูกขโมยของไป เรื่องนี้คงต้องให้เจ้าจัดการ มอบหน้าที่นี้ให้เจ้าแล้ว”
“ขอรับ”
ฟางโจวอวี่และอันอี้หางออกจากจวนไปก่อน เมื่อมาถึงหน้าประตู ฟางโจวอวี่ก็กวาดตามองอันอี้หาง “สหายอันช่างมีความสามารถในการสังเกตที่เลิศเลอเสียนี่กระไร ถึงได้ทราบเบาะแสหลาย ๆ อย่าง”
“สหายฟางก็ไม่ต่างกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเอาใจใส่”
งานชุมนุมกวีในวันนี้เป็นเพียงงานชุมนุมกวีปกติธรรมดาเช่นนั้นหรือ ไม่หรอก เจียงเหล่าเป็นถึงผู้ใด ข้างกายเขาขาดกวีเสียเมื่อไหร่ เขาเพียงกำลังจับตามองบัณฑิตในเมืองฮู่เป่ย เพื่อหาคนที่ตนสามารถใช้งานได้ต่างหาก
ไม่นานคนจากศาลาว่าการก็ออกจากจวนตระกูลเจียง นักการเกาไล่ตามลู่อี้ไปเพื่อถามบางสิ่ง ลู่อี้กลับไม่กล่าวสิ่งใด หลังจากกลับมาที่ศาลาว่าการแล้ว ลู่อี้ก็เข้าไปในห้องของนายอำเภอฉิน
“เป็นอย่างไร? หาเจอแล้วหรือยัง?” นายอำเภอฉินเอ่ยถาม
“หาเจอแล้วขอรับ แล้วก็หายไปอีกแล้ว”
“นี่มันคำพูดอะไรกัน? เจ้ายังจะเล่นใบ้คำปริศนาอะไรกับข้าอีก?”
ลู่อี้จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้นายอำเภอฉินฟัง
นายอำเภอฉินขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจียงเหล่าหมายความเช่นไร?”
“ของไม่ได้หายอย่างแน่นอน ทว่าเจียงเหล่ากลับให้ข้าตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ตรวจสอบให้เอิกเกริก ข้าคิดว่าคิดว่าเขากำลังตบตาผู้อื่น ให้คนที่อยู่ในเงามืดคิดว่าเขาทำบางสิ่ง ‘หาย’ ขอรับ”