สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 202 แอบมองตอนหลับ
บทที่ 202 แอบมองตอนหลับ
บทที่ 202 แอบมองตอนหลับ
อันอวี้กินลงไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงห่อที่เหลือไว้ในผ้าเช็ดหน้า ตั้งใจจะเก็บไว้กินพรุ่งนี้
นางเช็ดคราบน้ำมันออกจากมือ จากนั้นเคาะประตูบ้านข้าง ๆ พร้อมกับผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่สองผืน
ครั้งนี้ลู่เซวียนเป็นคนเปิดประตู เขาเห็นหน้าประตูมีแม่นางคนงามผู้หนึ่งก็ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ “แม่นางมาหาใครหรือ?”
“ข้าเป็นเพื่อนบ้าน” อันอวี้ได้ยินเสียงไม่คุ้นเคย คงไม่ใช่คนที่นางเพิ่งเจอเมื่อครู่นี้ “ข้ามาหา…”
“ท่านน้าคนสวย” ลู่จื่ออวิ๋นโผล่หัวออกมา “ข้าชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ นี่เป็นท่านอาของข้า บ้านข้ายังมีท่านพ่อท่านแม่ น้าเล็ก ลุงเซี่ย พี่จือเชียน และท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”
จือเชียนเป็นเหมือนพี่ชายคนสนิท เด็ก ๆ จึงเรียกเขาว่าพี่ชาย เรียกเซี่ยคุนว่าท่านลุง จือเชียนเรียกเซี่ยคุนว่าพี่ชาย ความสัมพันธ์ช่างยุ่งเหยิงอีนุงตุงนัง
“นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าที่แม่ข้าทำเอง เป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หวังว่าจะไม่รังเกียจ” อันอวี้มองไม่เห็น แต่เวลาพบคนแปลกหน้า นางจะตระหนกเล็กน้อย
“ใครหรือ?” มู่ซืออวี่เดินเข้ามา
“ท่านน้าคนสวยที่อยู่ข้างบ้านเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นตอบ
“เข้ามาสิ” มู่ซืออวี่จับมือของอันอวี้ไว้
“ไม่ต้องหรอก ข้ากำลังจะกลับแล้ว” อันอวี้ดึงมือกลับคืน ปฏิเสธด้วยความกังวลใจ
“บ้านของเราไม่มีกฎให้แขกยืนอยู่หน้าประตู เจ้ารีบเข้ามาก่อน มีเรื่องอะไรค่อยพูดคุยกัน”
อันอวี้ไม่อาจปฏิเสธ จึงถูกมู่ซืออวี่จูงเข้าไปทันที
“เจ้าจะเกรงใจข้าทำไม? ไม้เท้านี้ของเจ้า ข้าออกแบบเอง พี่ชายของเจ้าซื้อไปจากข้า ครอบครัวเราไปมาหาสู่กับพี่ชายเจ้า นับว่าเป็นสหายกันทั้งนั้น”
มู่ซืออวี่อยากให้อันอวี้ผ่อนคลายลง นางเห็นอกเห็นใจแม่นางคนนี้นัก
เซี่ยคุนมองดูอันอวี้ที่ถูกมู่ซืออวี่พาเข้าไป
ลานบ้านเป็นที่โล่ง พูดคุยอะไรกันข้างบ้านก็อาจได้ยิน นางรู้ว่าอวี้ซื่อเข้มงวดกับอันอวี้มาก มู่ซืออวี่ไม่อยากให้อวี้ซื่อที่อยู่บ้านข้าง ๆ ได้ยิน
มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ กำลังเตรียมจะกินข้าว อาหารรสเลิศหลายอย่างวางอยู่บนโต๊ะ
อันอวี้ได้กลิ่นหอมก็ลุกขึ้นยืนกล่าวขอตัวทันที
“โธ่เอ๊ย เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาว ข้าเลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อจะเป็นไรไป เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ ครั้งหน้าข้าเจอพี่ชายเจ้า ข้าคงต้องฟ้องพี่ชายเจ้าแล้วล่ะ”
“ข้า… ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ข้ากินแล้ว” แก้มของอันอวี้แดงเรื่อ
นางเพิ่งกินซาลาเปาไปครึ่งลูก นับว่าเป็นอาหารที่หรูหราที่สุดในรอบปีแล้ว นางจะตีเนียนกินอีกคงไม่ดี หากท่านแม่รู้เข้าคงถลกหนังนางเป็นแน่
“ฟังคำพี่สาวอย่างข้านะ กินเถอะ” มู่ซืออวี่ยัดถ้วยใส่มือของอีกฝ่าย
ลู่จื่ออวิ๋นส่งตะเกียบให้ “ท่านน้าคนสวย ท่านลองชิมฝีมือของท่านแม่ข้าเถิด ข้าคิดว่าฝีมือท่านแม่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลย ท่านลองดูว่าข้าพูดถูกหรือไม่”
“ท่านน้าชื่ออันอวี้ เจ้าเรียกนางว่าน้าอวี้ก็ได้”
“น้าอวี้”
“อืม” อันอวี้ตอบทั้งที่แก้มแดงปลั่ง
“ลองชิมอันนี้นะ” มู่ซืออวี่อวี่ตักหมูตุ๋นน้ำแดงขึ้นมาให้อันอวี้
อันอวี้รู้สึกไม่สบายใจนัก
จะกินหรือไม่กินดี? แต่กลิ่นหอมเหลือเกิน
นางสัมผัสได้ถึงความหวังดีของมู่ซืออวี่ น้ำใจยากที่จะปฏิเสธ หากถึงตอนนี้แล้วยังปฏิเสธจะถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้า
“เป็นอย่างไร?” มู่ซืออวี่เห็นอันอวี้ทานแล้วก็ถามขึ้น “หากเจ้าไม่ชอบ ลองชิมอย่างอื่นดูก็ได้”
“อร่อย” อันอวี้กล่าว “ข้าไม่เคยกินหมูอร่อยอย่างนี้มาก่อนเลย”
“ลองชิมอย่างอื่นบ้างสิ”
คนอื่น ๆ ก็นั่งลงเช่นกัน
อันอวี้ฟังพวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก นางรู้สึกว่าถ้วยของตนมีอาหารเต็มถ้วยอยู่ตลอด คงมีคนคอยตักอาหารให้นางอยู่เรื่อย ๆ
“น้องสามี บ้านนั้นส่งเนี่ยนตี้ไปเรียนหนังสือกับเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“ส่งมาแล้ว แต่ว่าแต่ละครั้งมาสายมาก นั่งได้ไม่นานก็กลับไปแล้ว คนที่มาส่งก็มักจะเป็นแม่เนี่ยนตี้คนนั้นเสมอ” ลู่เซวียนขมวดคิ้ว “ไปรับไปส่งก็ช่างเถอะ แต่ยังสรรหาเรื่องมาถามคำถามนู่นนี่ อีกทั้งยังใช้โอกาสนี้ส่งของมาให้ข้าหลายอย่าง”
“เป็นดังคาด มีจุดประสงค์แอบแฝงกับเจ้าจริง ๆ เนี่ยนตี้น้อยน่าสงสาร ตั้งแต่ยังเล็กก็ต้องทำงานบ้านงานเรือนมากมาย แล้วยังต้องมาเป็นเครื่องมือของคนอีก” มู่ซืออวี่กล่าว “เช่นนั้นเจ้าต้องหาทางจัดการ จะได้ไม่รบกวนการเรียนของคนอื่น ๆ”
ระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้น มู่ซืออวี่ก็พบว่าเซี่ยคุนกำลังหยิบผักให้อันอวี้ การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วว่องไว หากไม่ให้ความสนใจย่อมมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวนี้
ชายผู้นี้มีอะไรในกอไผ่!
คงไม่ใช่ตกหลุมรักแม่นางน้อยคนนี้แล้วกระมัง
แม่นางน้อยผู้นี้ตาบอด แต่นิสัยใจคอและรูปโฉมของนางล้วนงดงาม เป็นแม่นางที่ไม่เลวเลยจริง ๆ
“ข้ากินอิ่มแล้ว ขอบคุณพวกท่านที่เลี้ยงข้าวข้า” อันอวี้ลุกขึ้นยืน
มู่ซืออวี่ส่งไม้เท้าให้ “ข้าจะไปส่งเจ้า”
อันอวี้จึงกลับมาที่บ้านของตน ทว่าที่บ้านช่างเงียบสงัด ไร้ชีวิตชีวา
ส่วนบ้านข้าง ๆ มีเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาแว่ว ๆ ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน
ทางนั้นช่างอบอุ่น ไม่เหมือนทางนี้สักนิด
“เอาไปให้แล้วหรือ?” อวี้ซื่อยืนถามอยู่ที่หน้าประตู
อันอวี้ตื่นตกใจ พยักหน้าให้มารดา “เอาให้แล้ว”
“เหตุใดจึงนานนัก?” อวี้ซื่อมองมาด้วยสายตาเฉียบคม “เจ้าไปกินข้าวอยู่ที่บ้านพวกเขาหรือ?”
“ข้า… ข้า…” อันอวี้จวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
อวี้ซื่อเอ่ยเสียงเย็น “ครั้งหน้าไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นอีก”
ลูกชายของนางนั้นภายหน้าต้องเป็นขุนนาง จะให้เขามีมลทินติดตัวได้อย่างไร?
ลู่เซวียนล้างจาน มู่ซืออวี่ทำงานอยู่กลางลานบ้านต่อ กระทั่งแสงสุดท้ายลาลับไป มู่ซืออวี่จึงหยุดทำงาน นางอาบน้ำให้ลู่จื่ออวิ๋นแล้วเล่านิทานให้ฟัง
ใช่แล้ว! ระยะนี้มู่ซืออวี่เริ่มเล่านิทานให้ลู่จื่ออวิ๋นฟัง
ในนิยายต้นฉบับ ลู่จื่ออวิ๋นผู้ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักความอบอุ่นของมารดานั้นย่อมมืดหม่นจนถึงที่สุด มู่ซืออวี่ไม่อยากให้อวิ๋นเอ๋อร์ที่น่ารักกลายเป็นเช่นนั้น นางจึงเล่านิทานที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยสีสันให้ฟังตั้งแต่ยังเล็ก ในขณะเดียวกันก็ให้ลู่จื่ออวิ๋นรู้ว่าโลกนี้โหดร้าย ไม่ให้เชื่อใจชายใดง่าย ๆ
หลังจากกลับมาจากห้องของลู่จื่ออวิ๋น ทันทีที่นางเดินเข้าห้องนอนไป คนผู้หนึ่งก็ผลักนางติดกับประตู บดขยี้ริมฝีปากลงมาราวกับลมพายุ
“อื้อ…”
ลู่อี้! เจ้าคนลามก ชักจะเอาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!
ไม่มีกลิ่นสุรา วันนี้เขาไม่ได้ดื่มสุรามานี่!
นี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“เหตุใดถึงอยู่ในห้องของอวิ๋นเอ๋อร์นานเพียงนี้?” ลู่อี้กระซิบ ปล่อยลมหายใจอุ่นรินรดใบหูของนาง
ร่างกายมู่ซืออวี่ไร้เรี่ยวแรงในทันใด
ลู่อี้อุ้มนางไปวางลงบนเตียง อยากให้นางคุ้นเคยกับเขามากที่สุด
เขาไม่บังคับนาง ไม่ฝืนใจนาง ไม่ได้หมายความว่าจะให้นางห่างเหินจากตนไปเช่นนี้
“ลู่อี้ เจ้าปล่อยข้า” มู่ซืออวี่ผลักเขาออก
แม้กระทั่งนางยังรู้สึกว่าตนเองปากไม่ตรงกับใจ ใช้แรงราวกับลูกแมวเช่นนี้ หลอกเขาได้ที่ไหน?
ทว่าลู่อี้ปล่อยนางจริง ๆ “ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้านอนก่อนเถอะ”
มู่ซืออวี่ลูบแก้มของตน พยายามข่มความรุ่มร้อนในหัวใจ
นางล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว หลับตาลงแล้วนอนหลับไป
ลู่อี้กลับมาเห็นมู่ซืออวี่ในสภาพเช่นนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางแกล้งหลับ ทว่าเขากลับไม่ได้เปิดโปง เพียงแค่ดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแล้วนอนหลับไป
มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมามองดูชายหนุ่มภายใต้แสงจันทร์ คิ้วของเขาขมวดมุ่น ดูเหมือนจะมีเรื่องให้กังวลใจไม่น้อย
นางพลันรู้สึกปวดหัวใจ
“รูปงามหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
มู่ซืออวี่ “…”
นางรีบหลับตาลง ไม่สนใจเขาอีก
“พรุ่งนี้ต้องพาน้องเซวียนไปเมืองซูโจว ตรวจดูอาการเสียหน่อย เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่?” เขาถาม
แววตาของมู่ซืออวี่เปล่งประกายขึ้นมาทันที นางพยักหน้าซ้ำ ๆ “อยากไป!”