สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 204 มีความผิดใด
บทที่ 204 มีความผิดใด?
บทที่ 204 มีความผิดใด?
ลู่อี้เอาตัวมาขวางมู่ซืออวี่ไว้ จากนั้นดึงกริชที่อยู่ตรงเอวออกมาชี้ไปทางเสือที่พุ่งมาทางเขา
เสือตัวนั้นกวาดอุ้งเท้าออกไปตะปบคนข้าง ๆ จนกระเด็น
ลู่อี้หมายจะแทงเสือ แต่มันพยายามจะคว้าตัวลู่อี้ไว้ ชายหนุ่มหลบได้อย่างหวุดหวิด
เสือตัวนั้นเริ่มเกรี้ยวกราด มนุษย์คนนี้กล้าดีอย่างไรถึงไม่เกรงกลัวมัน ยังกล้าท้าทายความยิ่งใหญ่ของมันอีกหรือ
เสือดูดุร้ายเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะมันถูกคนยั่วยุหรือเป็นธรรมชาติของมัน
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ หลบซ่อนด้วยความหวาดกลัว
ชายฉกรรจ์หลายคนอยากเข้ามาหยุดมัน แต่เสือตัวนั้นกลับโมโหร้ายยิ่งกว่าเดิม หนึ่งในชายฉกรรจ์เหล่านั้นถูกเสือขย้ำจนตาย
“มีคนตายแล้ว!”
ลู่อี้ดันหลังของมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปหาที่หลบ”
มู่ซืออวี่ไม่อยากให้ลู่อี้ไปเสี่ยง แต่ก็รู้ว่าหากนางยังอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะเป็นภาระให้เขา จึงไปหาสถานที่เพื่อหลบซ่อนตัว
“ท่านอย่าดึงดันสู้กับมัน ถ้าสู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีซะ!” มู่ซืออวี่ตะโกนบอกลู่อี้
นางรู้ว่าชายที่ใช้ชีวิตด้วยการขึ้นเขาล่าสัตว์มานานหลายปี การจะกำจัดสัตว์ร้ายตัวหนึ่งย่อมไม่มีปัญหา
สายตาของลู่อี้ทวีความดุดัน เมื่อเสือฟาดอุ้งเท้าออกมาอีกครั้งก็สายเกินไปเสียแล้ว กริชแทงเข้าไปที่ตาขวาของมันทันที
“กรรรรร!!!!”
เสือตะกุยตะกาย โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดออกจากเบ้าตา
มันหมายจะตะปบลู่อี้ ทว่าลู่อี้เคลื่อนไหวอย่างว่องไว หลบเลี่ยงมันได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แผงขายของข้างทางล้วนถูกทำลายจนพังย่อยยับ ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ตอนที่เสือกระโจนออกมา ของเหล่านั้นก็ถูกเหยียบย่ำ ทำให้เจ้าของแผงที่ซ่อนอยู่แถวนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวระคนเคียดแค้น
“ยา! จริงสิ ไปหายามา” ชายตัวสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำกลุ่มชายฉกรรจ์คิดจะทำอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างกาย
พวกเขาต้องใช้ยาสลบจึงจะจัดการเสือตัวนี้ได้
“อ๊ะ!” มู่ซืออวี่เห็นเสือตัวนั้นตะปบเข้าที่ลู่อี้
เมื่อครู่นี้ลู่อี้ข้อเท้าแพลง เขาจึงหลบไม่ทัน เห็นเสือกำลังแยกเขี้ยวจะกัดลู่อี้ นางไม่สนใจสิ่งใด รีบคว้ากล่องข้าง ๆ โยนไปใส่มันทันที
เสือตัวนั้นถูกของโยนใส่จึงหันมาจ้องนาง มันเบนเป้าหมายกระโจนเข้าหามู่ซืออวี่ทันที
ลู่อี้เห็นเช่นนี้หน้าก็เปลี่ยนสีโดยพลัน เขาหันตัวกลับแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังเสือตัวนั้น
เท้าของเขาแพลงก็จริง ทว่ายามนี้มีบางสิ่งบีบบังคับให้เขาต้องกำราบเสือตัวนี้
พลั่ก! พลั่ก!
ลู่อี้ใช้หมัดแล้วหมัดเล่าชกลงไปที่เสือสุดแรง
ในตอนแรกเสือยังคงสามารถต้านได้ ทว่าไม่นานมันก็ถูกอัดจนอ่อนแรงเกินกว่าจะโต้กลับ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสือก็นอนกองลงตรงนั้น ความโกรธเกรี้ยวในสายตาของมันจางหายไป หลงเหลือเพียงความไม่ยินยอม ก่อนจะค่อย ๆ ส่งสัญญาณว่าไร้ชีวิต
มู่ซืออวี่เห็นลู่อี้สูญเสียการควบคุมตนเอง จึงรีบกอดลู่อี้จากข้างหลัง
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงร่างกายอุ่น ๆ ที่กดลงบนตัว เขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวทันที
“ไม่เป็นไรแล้ว มันตายไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยเสียงสั่น “ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? ข้าจะพาไปหาท่านหมอลี่”
“ไม่เป็นไร” ลู่อี้ลุกออกจากเสือตัวนั้น
ทันทีที่พวกเขาลุกขึ้น เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบก็ดังมาแต่ไกล
พวกทหารล้อมพวกเขาไว้ ชายที่อยู่บนหลังม้าสีขาวผู้หนึ่งค่อย ๆ เข้ามาใกล้
ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมหรูหรา คิ้วเข้ม รูปโฉมหล่อเหลา ใบหน้าขาวซีด ทว่าความเป็นปฏิปักษ์ในสายตาของเขากลับเข้มข้น กลิ่นอายสังหารรุนแรง รอบตัวปกคลุมไปด้วยความรู้สึกชิงชัง
“เจ้าฆ่านายพลพยัคฆ์ของข้าหรือ?” ชายหนุ่มผู้นั้นมองลู่อี้ด้วยสีหน้าอึมครึม “ใครก็ได้ ลากเขาออกไปฉีกให้เป็นชิ้น ๆ!”
นายทหารหลายคนเข้ามารุมล้อมพวกเขาทันที
“ช้าก่อน!” มู่ซืออวี่ออกมายืนด้านหน้าลู่อี้ “คุณชายท่านนี้ เสือตัวนี้จะทำร้ายคน สามีของข้าแค่อยากช่วยเหลือคนอื่น เขามีความผิดอะไร?”
“ท่านนี้คือจงอ๋อง” ทหารที่อยู่ข้างเขาเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าฆ่าสัตว์เลี้ยงของจงอ๋อง”
“จงอ๋อง…” มู่ซืออวี่พึมพำกับตัวเอง “เป็นจงอ๋องไปได้อย่างไร?”
จงอ๋อง เจ้าคนวิปลาสที่น่ากลัวมากในนิยายต้นฉบับคนนั้น…
หรือว่าเขาจะเป็นเจ้าเมืองซูโจว?
จงอ๋องเกิดจากหญิงโสเภณีจากเรือนบุปผาที่ฮ่องเต้องค์ก่อนไปพบเข้าเมื่อปลอมตัวออกไปข้างนอก ว่ากันว่าเขาเติบโตขึ้นในเรือนบุปผา เมื่อตอนที่เขายังเล็ก ด้วยรูปโฉมงดงามของเขา เขาจึงถูกแขกในเรือนบุปผาแตะต้องสัมผัสด้วยวิธีสารพัด ทำให้กลายเป็นคนมืดมนตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต่อมาฮ่องเต้กลับมายังเรือนบุปผาอีกครั้ง เมื่อได้พบกับจงอ๋อง เขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาละม้ายคล้ายคลึงกับตนถึงแปดส่วน จงอ๋องจึงได้เข้าวังไปเช่นนี้
ในนิยายต้นฉบับ จงอ๋องไม่เพียงแต่ชอบเสือเท่านั้น เขายังชอบสัตว์ร้ายอีกมากมายหลายชนิด และเพื่อที่จะเอาอกเอาใจเขา ขุนนางหลายคนล้วนไม่ลังเลใจที่จะส่งคนจำนวนมากออกไปตามล่าสัตว์ร้ายตัวเป็น ๆ มาให้ ทำให้คนตายไปไม่น้อย
ในระยะแรกจงอ๋องชื่นชอบดูสัตว์ร้ายนานาชนิดต่อสู้กัน ต่อมาเขากลับชอบดูผู้มีฝีมือเข่นฆ่ากัน เขาให้คนเข้าไปในกรงขังเพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้าย ผู้ใดชนะจะมีเนื้อให้กิน ผู้ใดแพ้จะถูกกิน ทุกวันนี้เขามักจะส่งคนเข้าไปในกรงขังสัตว์ร้าย ผู้ใดชนะก็รอดชีวิต ขณะที่ผู้แพ้ต้องกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่า
จะทำอย่างไรดี?
ถ้าตกไปอยู่ในมือของจงอ๋อง คงต้องไม่รอดชีวิตเป็นแน่ อย่าว่าแต่จะเปลี่ยนโชคชะตาของลู่อี้เลย เกรงว่าชะตาคงขาดไปก่อนแล้ว
จงอ๋องมีจุดอ่อนหรือไม่?
“เจ้ารู้จักเปิ่นหวาง*[1] หรือ?” ฟ่านหยวนซีมองหญิงโอหังตรงหน้า
“ไม่… ไม่รู้จัก…” มู่ซืออวี่ส่ายหน้าอย่างร้อนรน
“ไม่รู้จักงั้นหรือ?” ฟ่านหยวนซีจ้องเขม็ง ไม่คิดว่าตนจะมองพลาด
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อี้ดึงมู่ซืออวี่กลับมา “เสือตัวนั้นฆ่าได้ง่ายดายเกินไป ไม่คู่ควรกับชื่อนายพลพยัคฆ์ ข้าน้อยจะไปจับตัวที่ใหญ่กว่าและดุร้ายกว่ามาให้”
มู่ซืออวี่จ้องมองลู่อี้ นี่เขาพูดเรื่องโง่งมอะไรกัน
ตัวใหญ่กว่าและดุร้ายกว่า ทั้งยังต้องจับมาทั้งเป็นอีก เขาคิดว่าตนเป็นใครถึงไม่เพลี่ยงพล้ำให้มัน
มู่ซืออวี่ส่ายหัวเบา ๆ พร้อมส่งสายตาวิงวอน
จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ หากทำไม่สำเร็จขึ้นมา จงอ๋องผู้เหี้ยมโหดคนนั้นก็จะสั่งให้เขาตาย และถึงแม้เขาจะทำสำเร็จ ถ้าเขาไม่ตายก็ต้องเนื้อตัวถลอกปอกเปิก
ไม่! เขามีโอกาสที่จะล้มเหลวสูงมาก
ลู่อี้บีบมือนาง ส่งสัญญาณให้นางอยู่นิ่ง ๆ
ฟ่านหยวนซีทำเหมือนได้ยินเรื่องตลกขับขัน “ฮ่าฮ่าฮ่า”
มู่ซืออวี่ไม่กล้าเปิดปากเอ่ย อีกฝ่ายเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ หากคนธรรมดาเช่นนางกล้าพูดคำใดที่ไม่เหมาะสมออกมา หลังจากนั้นนางอาจถูกตัดหัวก็เป็นได้
ไม่เป็นไร ยังมีโอกาส นางสามารถช่วยกันคิดหาทางออกกับลู่อี้ได้ แต่นางต้องหลุดจากเงื้อมมือของจงอ๋องผู้นี้เสียก่อน
“เจ้าชื่ออะไร?” จงอ๋องหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าลู่อี้ “ไม่สำคัญแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นคนใกล้ตายผู้หนึ่ง ข้าจะให้โอกาสเจ้า สิบวัน สิบวันถัดจากนี้ ข้าอยากเห็นเสือที่ตัวใหญ่และดุร้ายกว่า”
“แน่นอนพะย่ะค่ะ” ลู่อี้พยักหน้า
จงอ๋องหมุนกายจากไป
วิกฤตครั้งนี้นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว มู่ซืออวี่ลูบอกตนเอง นางยังคงหลงเหลือความหวาดกลัว
“ข้ากลัวจะตายแล้ว”
“หมดเรื่องแล้ว” ลู่อี้อยากจะปลอบนาง แต่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด เขาจึงถอนมือกลับคืน
“ท่านจะไปจับเสือที่ใด? นี่ยังบอกว่าหมดเรื่องแล้วอีกหรือ เช่นนั้นอย่างไรถึงเรียกว่ามีเรื่อง?” มู่ซืออวี่ว้าวุ่นใจ
นางรู้ว่าลู่อี้ไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งยังรู้ว่านี่เป็นมหันตภัยที่มาโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน นางจึงไม่ได้โทษเขา แค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น
ลู่อี้เห็นมู่ซืออวี่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ปวดใจ คว้านางมากอดไว้ในอ้อมแขน “ข้าจัดการได้”
[1] เปิ่นหวาง เป็นคำเรียกแทนตัวเองของเชื้อพระวงศ์