สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 211 เขาไม่รีบแม้แต่น้อย
บทที่ 211 เขาไม่รีบแม้แต่น้อย
บทที่ 211 เขาไม่รีบแม้แต่น้อย
“ข้าจะปฏิเสธได้หรือ? ไม่ได้กินข้าวเพียงไม่กี่มื้อก็เป็นลมแล้ว ทั้งยังต้องใช้เงินมากมายไปกับยา หากปล่อยให้หิวอีก เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไง?”
อวี้ซื่อทำหน้าไม่พอใจ สิ่งที่กล่าวออกมาล้วนเป็นเพราะอารมณ์โกรธ
แม้จะเป็นการเอ่ยออกมาเพราะความโกรธ แต่นางยิ่งพูดเท่าไหร่ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งรู้สึกโมโหมากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าลูกสาวเกิดมาเพื่อทวงหนี้นาง
“ท่านก็ต้องทานให้อิ่มเช่นกัน หากท่านไม่ทานให้อิ่มเพียงเพราะจะเก็บเงินไว้ให้ข้า แล้วมีปัญหาสุขภาพขึ้นมา เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปสอบขุนนางแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร? ข้าทำเพื่อเจ้ามากมายเพียงนี้ เจ้าบอกว่าจะไม่สอบก็ไม่สอบได้หรือ?” การสอบขุนนางเป็นเรื่องที่อวี้ซื่อยึดติดที่สุด หากบอกนางว่าจะไม่สอบขุนนาง นางต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่สอบขุนนาง แต่ถ้าท่านยังไม่สนใจสุขภาพของตนเองเช่นนี้ต่อไป เช่นนั้นข้าไม่สอบขุนนางเสียยังดีกว่า” อันอี้หางกล่าว “ด้วยความสามารถของข้าในตอนนี้ ข้าจะไปเป็นนักบัญชีหรืออาจารย์ของตระกูลสูงส่งก็สามารถเลี้ยงดูท่านและน้องสาวได้โดยไม่มีปัญหา ถ้าท่านรู้สึกว่าเงินไม่พอ ข้าก็จะกลับมาเร็ว ๆ หน่อยแล้วหางานเพิ่ม”
“ไม่ เจ้าไม่สอบขุนนางไม่ได้ ข้ารับปากเจ้าก็สิ้นเรื่องแล้ว” อวี้ซื่อคว้าแขนของอันอี้หางไว้ “ลูกชาย เจ้าเป็นความหวังของข้า อย่าจงใจทำให้ข้ากลัวเป็นอันขาด!”
“เช่นนั้นต่อจากนี้ท่านยังจะทำเช่นนี้อีกหรือไม่?” อันอี้หางถาม
“ไม่แล้ว ต่อไปข้าจะกินข้าวให้อิ่มหนำ ให้เสี่ยวอวี้กินอย่างอิ่มหนำด้วยเช่นกัน” อวี้ซื่อรับปาก
“ข้าไหว้วานใต้เท้าลู่ที่อยู่บ้านข้าง ๆ แล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่ได้กลับมาบ่อย แต่ข้าอยู่ในเมือง ข้าสามารถไปพบใต้เท้าลู่ได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นข้าจะถามเขา ท่านไม่อาจโกหกข้าได้”
“ได้ยินว่าหัวหน้าครอบครัวบ้านข้าง ๆ เป็นเจ้าหน้าที่ทางการในศาลาว่าการหรือ?”
“ขอรับ เป็นจู่ปู้”
“เช่นนั้นความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?”
“ไม่นับว่าแย่ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี”
อันอี้หางเห็นท่าทีของอวี้ซื่ออ่อนลง คืนนั้นยังทำข้าวต้มให้อันอวี้โดยเฉพาะ ทั้งยังป้อนให้นางด้วยตนเอง เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
เทียบกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งของครอบครัวอันแล้ว ฝั่งครอบครัวลู่นับว่ากลมเกลียวกว่ามาก
มู่ซืออวี่ทำอาหารอันโอชะหลายอย่างไว้เต็มโต๊ะเป็นโอกาสพิเศษ แล้วชวนถงซื่อมาทานอาหารด้วยกัน หลังจากทานมื้อค่ำแล้ว มู่ซืออวี่ก็ตรวจดูทั้งในและนอกบ้าน เก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย แล้วกลับเข้าไปในห้อง
ทว่าเพิ่งกลับเข้ามาในห้อง มู่ซืออวี่ก็หยุดชะงักไปทันที
นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองซูโจว
หากวันนั้นจงอ๋องไม่ส่งคนมา นางและลู่อี้บางทีอาจจะ…
ตอนนี้ไม่มีจงอ๋อง ไม่มีแม้แต่คนอื่นมารบกวนพวกเขา เช่นนั้นคืนนี้จะต้องสานต่อเรื่องที่ยังทำไม่จบในวันนั้นใช่หรือไม่
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?” ลู่อี้ยืนอยู่ข้างหลังนาง
เขาเพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำ ร่างกายของเขายังกรุ่นไอชื้น
มู่ซืออวี่ขยับไปข้าง ๆ “ไม่มีอะไร ข้าจำได้ว่ายังไม่ได้นับไก่ ไม่รู้ว่าไปไม่กี่วันไก่น้อยลงไปหรือไม่ ท่านไปนอนก่อนเถอะ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
ขณะที่พูดนั้น มู่ซืออวี่ก็เดินเลียบไปข้าง ๆ ลู่อี้
ทว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว แขนแกร่งคู่หนึ่งก็รวบนางขึ้นมาทั้งตัว
“อ๊ะ…”
มู่ซืออวี่ร้องออกมา จู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบปิดปากตนเองอย่างรวดเร็ว
“วางข้าลงนะ” นางผลักลู่อี้
ลู่อี้ค่อย ๆ วางนางลง
ทว่าวางลงบนเตียง
เขาโน้มหน้าลงไปจูบนาง รุกรานเข้าไปในโพรงปากเล็ก ๆ ของนางอย่างเอาแต่ใจและตะกละตะกลาม
“อื้อ…”
“วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว”
สายตาของลู่อี้วาววับราวกับหมาป่า ทว่าความเคลื่อนไหวของเขากลับป่าเถื่อนยิ่งกว่า
บางทีอาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาทุกข์ยากมามากแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมู่ซืออวี่ที่มีต่อเขา จึงไม่อยากแสร้งทำเป็นลูกแกะน้อยอีกต่อไป ชายหนุ่มเผยธรรมชาติของหมาป่าออกมา อยากจะกลืนกินแกะอ้วนพีตรงหน้าลงไปทั้งเป็น
มู่ซืออวี่ขยับมือขึ้นไปคล้องคอเขา
จูบของลู่อี้ลึกซึ้ง ดูดดื่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้เองมู่ซืออวี่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นางปวดท้องน้อย ทั้งยังรู้สึกไม่สบายตัวหน่อย ๆ และที่สำคัญที่สุด…
“ถ้าข้าบอกว่าวันนี้ข้าไม่สะดวก ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่?”
มู่ซืออวี่รู้สึกผิดเล็กน้อย สิ่งนั้นมาเอาตอนนี้จะบังเอิญเกินไปแล้ว
ลู่อี้หยุดทันที แล้วมองนางอย่างจริงจัง “เจ้าหมายถึง…….”
มู่ซืออวี่พยักหน้าเบา ๆ “ใช่”
ลู่อี้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ข้าขอโทษ” มู่ซืออวี่ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเอง
ลู่อี้เขี่ยปลายจมูกนางเบา ๆ “รีบลุกขึ้นจัดการให้เรียบร้อย”
มู่ซืออวี่รีบไปที่ห้องน้ำข้างนอกเพื่อใส่ผ้าคาดประจำเดือน
ผ้าคาดประจำเดือนเป็นของที่นางทำขึ้นเอง ใช้เนื้อผ้าบาง ๆ ที่อ่อนโยนต่อผิว ข้างในยัดด้วยฝ้าย
ผ้าคาดประจำเดือนเช่นนี้นับได้ว่าเป็นของฟุ่มเฟือย เพราะฝ้ายราคาแพงมาก เป็นสิ่งที่มีแต่คนมั่งมีเท่านั้นที่จะเต็มใจจ่าย ตอนนี้นางยังนับว่าเป็นคนร่ำรวยไม่ได้ แต่ด้วยรายได้ที่มั่นคง หากจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถว่านางฟุ่มเฟือยได้
หลังจากใส่ผ้าคาดประจำเดือนเสร็จ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกอายที่จะเผชิญหน้ากับลู่อี้เล็กน้อย
น่าอายอะไรเช่นนี้
ครั้งแรกเป็นเพราะจงอ๋องเรียกลู่อี้ออกไป นั่นเป็นปัจจัยภายนอก
แต่ตอนนี้เพราะเหตุผลของนางเอง นับว่าเป็นปัจจัยภายใน
ลู่อี้คงไม่เกิดเงามืดในจิตใจใช่หรือไม่?
ไม่สนใจแล้ว อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน
นางเปิดประตูเดินเข้าไป ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่อี้
ในตอนที่นางกำลังผิดหวังนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เหตุใดยังไม่ไปนอนบนเตียง?”
มู่ซืออวี่หันหน้ากลับไป นางเห็นลู่อี้ถืออะไรบางอย่างเอาไว้จึงเอ่ยถาม “นี่อะไร?”
“น้ำตาลทรายแดงน่ะ” ลู่อี้ยื่นให้นาง “ดื่มสักหน่อยเถอะ!”
“ท่านรู้ได้อย่างไร…” มู่ซืออวี่จิตใจสั่นไหว
“ในหนังสือบอก” ลู่อี้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยถึงเรื่องที่น่าอายเช่นนี้กับใครสักคน ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากัน แต่นี่เป็นเรื่องที่ใกล้ชิดที่สุดหลังจากพวกเขาแต่งงานและอยู่ด้วยกันมานานหลายปี
“ขอบคุณ”
“เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เหตุใดต้องทำตัวเหมือนคนนอกเช่นนี้?”
ทั้งสองคนไม่พูดสิ่งใดอีก บรรยากาศทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบทันที
อึก อึก…
มีเพียงเสียงมู่ซืออวี่ดื่มน้ำตาลทรายแดงเท่านั้น
ดื่มเสร็จลู่อี้ก็รับเอาถ้วยเปล่าแล้วเดินออกไป
ไม่นานนักเขาก็กลับมา เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ยังนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น เขาก็ประคองนางให้นอนลงบนเตียง คลุมทั้งร่างกายของนางด้วยผ้าห่ม
“ข้าหนาว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
ลู่อี้ถอนหายใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปถูเท้าของมู่ซืออวี่ที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
“ไม่ต้องทำแล้ว”
“อย่าขยับ”
มู่ซืออวี่มองชายหนุ่มตรงหน้า รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวและหัวใจ
“ท่านก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน รีบมานอนเถอะ” มู่ซืออวี่ดึงลู่อี้ขึ้นมาบนเตียง
ลู่อี้นอนลงข้าง ๆ นาง และยังคงถูเท้าของนางเช่นเดิม
“รู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
“อืม”
“เช่นนั้นก็หลับเถิด”
มู่ซืออวี่หลับตาลงด้วยความเขินอาย
ลู่อี้มองใบหน้าที่หลับลงอย่างสงบของนาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
วันถัดมา ท้องของมู่ซืออวี่ปวดรุนแรงมาก สีหน้าของนางซีดเผือด
ลู่อี้จึงเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เจ้าไม่ต้องไปที่ร้านแล้ว”
“ไม่ได้” มู่ซืออวี่ส่ายหัว “ข้าต้องไป”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เฟิงเจิงบอกเมื่อวานก็รู้ว่าอีกฝ่ายรับมือไม่ไหว คนที่ลื่นเป็นปลาไหลเช่นนั้นนางจำเป็นต้องจับตามองด้วยตนเอง มิเช่นนั้นเฟิงเจิงจะตกเป็นรองตลอด ไม่มีโอกาสที่จะชนะ
“ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไปดูแลเจ้า” ลู่อี้ตัดสินใจขอลาหยุดเพิ่มอีกหนึ่งวัน อย่างไรเสียก็ล่าช้ามาเนิ่นนางเพียงนี้แล้ว หากเพิ่มอีกสักวันคงไม่เป็นไร เขาไม่อาจวางใจปล่อยให้นางอยู่คนเดียว
ส่วนเซี่ยคุน เขาไม่นับแล้ว ตอนนี้เขาไม่วางใจปล่อยนางให้ใครดูแลทั้งนั้น เขาอยากดูแลนางด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องหรอก” มู่ซืออวี่รับรู้ความหวังดีของลู่อี้ แต่ไม่สามารถทำตัวขาดความรับผิดชอบได้
ตอนนี้ลู่อี้อยู่ในช่วงที่นายอำเภอฉินให้ความสำคัญกับเขา จะทำให้เขาสูญเสียความไว้ใจจากนายอำเภอฉินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความพยายามทั้งหมดของเขาคงสูญเปล่าแล้ว