สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 217 ห่างแค่เพียงหนึ่งก้าวเสมอ
บทที่ 217 ห่างแค่เพียงหนึ่งก้าวเสมอ
บทที่ 217 ห่างแค่เพียงหนึ่งก้าวเสมอ
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว
ทุกคนล้อมรอบเจ้าบ่าวเพื่อคารวะสุราราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น บรรยากาศกลับมาอบอุ่นรื่นเริงอีกครั้ง
ตอนที่เจ้าบ่าวมาคารวะสุราที่โต๊ะของลูอี้ เมื่อเห็นลู่อี้ สีหน้าของเขาพลันแข็งค้าง รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าไม่นาน เขาก็ยกจอกดื่มรวดเดียวหมดท่ามกลางสายตาสับสนของทุกคน
มู่ซืออวี่และลู่อี้ไม่อยู่ที่นี่นานนัก หลังจากดื่มเสร็จแล้วพวกเขาก็ออกจากงาน
“ปลัดอำเภอขอรับ ลู่อี้ไปแล้ว”
“ดำเนินการตามแผน”
“ขอรับ”
เฉินเซียนเฉิงมองคนของเขาเดินออกไป จากนั้นหันไปมองตามแผ่นหลังลู่อี้ ความอาฆาตแค้นปรากฏในแววตา
จริงอยู่ที่เขาไม่กล้าทำอะไรลู่อี้ แต่หากไม่สั่งสอนบทเรียนให้เขาเสียบ้าง ก็ยากที่จะลบเลือนความเกลียดชังในหัวใจไปได้
ตอนนี้ประตูเมืองปิดแล้ว ลู่อี้และมู่ซืออวี่ไม่สามารถออกจากเมืองได้ ทั้งสองตั้งใจจะหาโรงเตี๊ยมพักอยู่เสียก่อน
บนถนนอันเงียบสงบ สามีภรรยาสองคนเดินไปอย่างช้า ๆ ยากนักที่จะได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีใครมาคั่นกลางระหว่างพวกเขา ทั้งสองย่อมรู้สึกสบายอารมณ์ไม่น้อย
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” ลู่อี้ดึงมู่ซืออวี่ไปที่มุมหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะไปจัดการสถานการณ์เร่งด่วนสักประเดี๋ยว แล้วจะรีบกลับมา”
“เช่นนั้นท่านรีบหน่อย อยู่คนเดียวข้ากลัว” มู่ซืออวี่กล่าว
“ได้”
ลู่อี้เดินกลับไป เขาหยุดฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเลี้ยวเข้าตรอกไป
มีคนห้าคนซ่อนอยู่ตรงนั้น เมื่อทั้งห้าคนนั้นเห็นลู่อี้ แต่ละคนล้วนตะลึงพรึงเพริด
พวกเขาถูกจับได้แล้วหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร? พวกเขาอยู่ไกลเพียงนี้ ถูกพบเข้าได้อย่างไรกัน?
“จะเข้ามาพร้อมกันหรือเข้ามาทีละคน?” ลู่อี้เย้ยหยัน
คนเหล่านั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะออกหมัดใส่ลู่อี้ทันที
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด เสียงนั้นย่อมชัดเจน มันดังสะท้อนก้องออกไปไกล
มู่ซืออวี่ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงวิ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้น
เสียงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ตามมาด้วยเสียงหมัดหนัก ๆ และเสียงคร่ำครวญของคน
เมื่อนางมาถึงก็เห็นลู่อี้กำลังเตะไปที่อกของชายผู้หนึ่งพอดี ชายผู้นั้นล้มลง ไม่สามารถยันกายลุกขึ้นมาได้อีก
มีคนทั้งหมดห้าคนนอนระเนระนาดอยู่บนพื้น แต่ละคนเผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวออกมา
ลู่อี้ราวกับอสูรในยามราตรี ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหด จิตสังหารอาบย้อมทั่วร่าง
มู่ซืออวี่วิ่งเข้าไปกอดเขา “พอแล้ว ไม่ต้องแล้ว ถ้าท่านกระทืบเขาอีกทีคงถึงชีวิตแน่”
หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณบอกว่านางต้องหยุดเขา ไม่อาจให้เขาเข่นฆ่าคนได้
ลู่อี้สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของนางจึงสงบลง เขาค่อย ๆ คว้ามือนางมากุมไว้แล้วเดินไปทางโรงเตี๊ยม
มู่ซืออวี่ก้าวยาว ๆ ตามเขาไป ทว่าลู่อี้หยุดฝีเท้า ก่อนจะมองเท้าของนางแล้วอุ้มนางขึ้นมา
“ข้าไม่เป็นไร”
รองเท้าที่นางสวมวันนี้ค่อนข้างสูง ไม่เหมือนรองเท้าที่นางใส่ตอนทำงานเป็นปกติ พอวิ่งเร็ว ๆ ย่อมรู้สึกเดินลำบาก
“ทำให้เจ้ากลัวหรือ?” น้ำเสียงของลู่อี้เย็นเยียบอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยามกลางคืนเงียบเกินไป หรือเพราะเสียงของเขาแตกต่างออกไป หรือว่าเพราะเขาเพิ่งต่อสู้ตัวคนเดียวมา อารมณ์ของเขาจึงไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ได้กลัว”
นางแค่เป็นห่วงเขา
หลังจากหาโรงเตี๊ยมและได้ห้องแล้ว ลู่อี้ก็พามู่ซืออวี่ขึ้นไปข้างบน
“มือของท่านบาดเจ็บแล้ว” มู่ซืออวี่เห็นข้อนิ้วของลู่อี้กลายเป็นสีแดง
“ไม่เป็นไร”
“ข้าจะไปหาเถ้าแก่ดูว่ามียาหรือไม่”
“ไม่ต้อง” ลู่อี้กอดนางไว้ “วันนี้ดึกแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว”
เขารู้ว่าคนพวกนั้นถูกใครส่งมา ตอนนั้นเขาคิดจะฆ่าคนแล้วจริง ๆ หากไม่เป็นเพราะมู่ซืออวี่ปรากฏตัวขึ้น เขาคงทำความผิดพลาดใหญ่หลวงเข้าแล้ว
หากเขาฆ่าคนจริง ๆ เช่นนั้นคงตกหลุมพรางของเฉินเซียนเฉิงเข้าเต็มเปา
“ไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?”
“ไม่เป็นไร”
มู่ซืออวี่ขอให้คนของโรงเตี๊ยมนำน้ำร้อนมาให้ หลังจากล้างเนื้อล้างตัวกับลู่อี้แล้วจึงเข้านอน
ลู่อี้กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่านางจะบินหนีไปได้ทุกเวลา
มู่ซืออวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ได้แต่ขยับตัวไปมา
“อย่าขยับ” ลู่อี้กระซิบข้างหูนาง “นอนดี ๆ”
มู่ซืออวี่หลับตาปี๋ เมื่อรู้สึกว่าคนข้างหลังค่อย ๆ สงบลงและคลายตัวนางออก นางถึงได้หลับไปจริง ๆ
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นว่านางตื่นเพราะถูกกัด
“อื้อ…”
คนยังไม่ตื่น ร่างกายกลับตื่นก่อนแล้ว
ความรู้สึกซาบซ่านวาบหวิวนั้นทำให้นางรู้สึกราวกับกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์
“สามี…” มู่ซืออวี่ขยุ้มผ้าปูเตียงไว้แน่น “รุ่งเช้าแล้ว ท่านต้อง… ต้องไปทำงานแล้ว”
“อืม เช่นนั้นฮูหยินต้องช่วยข้า” เสียงของลู่อี้แหบพร่า ราวกับหมาป่าที่กำลังหลับใหลนั้นตื่นขึ้นมา
ครั้นนิ้วของมู่ซืออวี่เผลอไปแตะแผ่นอกของเขา ก็พบว่าราวกับแตะลงบนกองไฟ นางรีบถอนมือกลับอย่างรวดเร็ว
เขาคว้ามือที่สะดุ้งโหยงของนางทาบลงไปอีกครั้ง
ตอนที่พวกเขาสองคนออกไปจริง ๆ ก็เป็นเวลาแสงแดดจ้าสาดส่องลงมาแล้ว
มู่ซืออวี่หน้าแดงก่ำ ไม่กล้ามองลู่อี้ที่อยู่ข้างกาย
ลู่อี้กุมมือมู่ซืออวี่ไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วพานางไปทานเกี๊ยวน้ำที่อร่อยที่สุด จากนั้นจึงไปส่งที่เรือนกรุ่นฝัน แล้วค่อยมุ่งหน้าไปที่ศาลาว่าการ
“เถ้าแก่เนี้ย ๆ” คนงานถามเรื่องสินค้าใหม่กับมู่ซืออวี่ แต่ฝ่ายหลังกลับเอาแต่เหม่อลอย เรียกสองสามครั้งแล้วก็ยังไม่ตอบ
มู่ซืออวี่ตื่นขึ้นจาก ‘ภวังค์’ นางมองคนงานของนางอย่างงุนงง “อะไรหรือ?”
“เถ้าแก่หลี่สั่งทำกล่องชุดหนึ่งไว้เก็บสุรา ทำได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้ รับมาเถอะ!”
“ได้เลยขอรับ”
พูดจบแล้วคนงานคนนั้นยังไม่ไปไหน แต่ถามนางด้วยความเป็นห่วง “เถ้าแก่เนี้ย เหตุใดท่านจึงหน้าแดงก่ำเช่นนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
“ไม่ ๆ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ” มู่ซืออวี่ให้คนงานคนนั้นออกไป
หญิงสาวสบายดี เพียงแต่รู้สึกอายเท่านั้น
นางและลู่อี้ทำเรื่องน่าอายเหล่านั้นทั้งเช้า ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ไปถึงขั้นสุดท้าย แต่ก็ทำแทบทุกอย่างที่ควรทำและไม่ควรทำแล้ว คิดแล้วก็น่าอายจริง ๆ
“คุณชายอัน” คนเฝ้าร้านรู้จักอันอี้หางที่กำลังเดินเข้ามา จึงเข้าไปทักทาย
อันอี้หางพยักหน้าให้พวกเขา และเมื่อเห็นมู่ซืออวี่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาก็เดินเข้าไปหา
“ฮูหยินลู่”
มู่ซืออวี่เงยหน้ามองอันอี้หาง “เป็นท่านนี่เอง มีอะไรหรือ?”
“ผ้าคล้องศอกที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อวานนี้” อันอี้หางกล่าว “เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“ท่านสนใจของสิ่งนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่หัวเราะ
“ดูสวยดีน่ะ” อันอี้หางไม่ปฏิเสธ “หากเอาไปเพิ่มในภาพ คงจะสวยขึ้นไม่น้อย”
“ได้ ข้าจะเอาให้ท่านดู” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านตามข้าไปที่ห้องตำรา”
ภายในห้องตำรา อันอี้หางพลิกผ้าคล้องศอกผืนนั้นดูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินลู่ ท่านคล้องเหมือนเมื่อวานนี้ให้ข้าดูได้หรือไม่?”
“เอ่อ…” มู่ซืออวี่ลังเล
“เมื่อวานนี้ข้าเห็นไม่ชัด ข้าอยากจะวาดแต่นึกความรู้สึกไม่ออกน่ะ ได้แต่ขอให้ฮูหยินลู่ช่วยข้าแล้ว” อันอี้หางกล่าว
“เช่นนั้นก็ได้”
มู่ซืออวี่นำมันมาคล้องแขนเหมือนเมื่อวานนี้พลางเอ่ยถาม “อย่างนี้ได้หรือไม่?”
อันอี้หางหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแล้วร่างแบบหยาบ ๆ ลงบนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
และนี่คือฉากที่ลู่อี้เห็นเมื่อเดินเข้ามา
ในใจเขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่ได้เข้าไปห้าม เพียงแต่ยืนดูจากด้านข้าง
อันอี้หางเห็นรูปร่างของมู่ซืออวี่แล้วรู้สึกลังเลใจที่จะวาดลงไปเล็กน้อย
เขามองนางด้วยสายตาเลื่อนลอย ประหนึ่งว่าตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดบางอย่าง
“คุณชายอัน ใช้ได้แล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่หันกลับไปมองอันอี้หาง
อันอี้หางพลันรู้สึกตัว “ได้แล้ว ขอบคุณฮูหยินลู่”
“ได้อะไรหรือ?” ลู่อี้เอ่ยขึ้นมาพอดี
ในตอนนั้นเอง อันอี้หางและมู่ซืออวี่จึงรู้ว่ามีบุคคลที่สามอยู่ในห้อง
มู่ซืออวี่ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่อันอี้หางกลับรู้สึกกระวนกระวาย
ทว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใด