สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 220 ท่านอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 220 ท่านอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ
บทที่ 220 ท่านอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ?
บทที่ 220 ท่านอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ?
“ในสายตาของพี่ เจ้าดีที่สุดในโลกใบนี้แล้ว อย่าได้ดูแคลนตนเองเช่นนี้อีก” อันอี้หางเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะแต่ง เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปหาสหายเซี่ย ถามความต้องการของเขา หากเขาชอบเจ้าจากใจจริง ทางฝั่งครอบครัวลู่ไม่คัดค้านอะไร พวกเราก็จะได้คุยกันเรื่องการตระเตรียมงานแต่ง”
ครอบครัวลู่…
ฮูหยินลู่…
หญิงสาวที่งดงามผู้นั้นปรากฏตัวในสมองของอันอี้หาง
เขาส่ายหัวเพื่อสลัดภาพตรึงตาตรึงใจนั้นออกไป
นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายพวกเขาจะมีโชคชะตาเช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ต้องซ่อนเร้นไว้ในเงามืดตลอดไป
“ท่านพี่” สุดท้ายอันอวี้ก็ไม่อาจเก็บมันไว้อีกต่อไป ตั้งใจจะบอกเรื่องทั้งหมดกับอันอี้หาง
ครั้นอันอี้หางได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วสีหน้าของเขาก็เขียวคล้ำ พุ่งออกไปข้างนอกด้วยความโกรธ
“ท่านพี่ ท่านพี่ อ๊ะ!” อันอวี้ตกลงจากเตียง
อันอี้หางได้ยินเสียงของนางจึงรีบรุดกลับมา “เจ็บตรงไหนหรือไม่? ไยเจ้าต้องตามมา?”
“ท่านอย่าไปเลย” อันอวี้ดึงเขาไว้ “ข้าบอกท่านแล้วว่าพี่ใหญ่เซี่ยเป็นคนดี พวกเราไม่อาจทำร้ายเขา พี่ใหญ่เซี่ยเต็มใจแต่งงานกับข้าเพราะเขาสงสารข้า ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนชั่วเช่นนั้นก็จริง แต่ข้าไม่อยากตอบแทนบุญคุณของเขาด้วยการทำร้ายเขา ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคือให้ข้าบวชเข้าสู่ทางธรรม ไม่ต้องแต่งกับใครทั้งนั้น”
“เจ้าให้ข้าคิดดูก่อนเถิด” อันอี้หางจิตใจว้าวุ่น
หลังจากมู่ซืออวี่ทำกับข้าวสามอย่างและน้ำแกงถ้วยหนึ่งแล้ว นางก็นำอาหารเหล่านั้นออกมา
จือเชียนเห็นว่าอาหารเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงเข้ามาช่วยจัดโต๊ะ
เซี่ยคุนยังนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นนั้น เหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าในหัวของเขากำลังคิดอะไรอยู่
ทุกคนเคยชินกับความแปลกประหลาดของเขาแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร
ลู่เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้ อีกนานหรือไม่ที่พี่ชายของข้าจะกลับมา?”
“ไม่รู้สิ” มู่ซืออวี่ตอบ “ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องเขา จะรู้เรื่องของเขาได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ใช่พยาธิในท้องของเขา แต่เป็นหยกประดับตัวเขา เหตุใดข้าจะถามไม่ได้?” ลู่เซวียนกล่าว
“คนที่อยู่บนต้นไม้น่ะ ได้เวลากินข้าวแล้ว!” มู่ซืออวี่นั่งลงแล้วตะโกนเรียกเซี่ยคุน “ข้าว่าตอนเป็นขอทานท่านก็ชอบนอนหลับ ตอนนี้มาเป็นผู้ติดตามข้า ท่านก็ชอบเหม่อลอย ท่านแกล้งทำเป็นหูหนวกเช่นนี้คิดว่าน่าสนใจนักหรือ? รีบลงมา!”
“ท่านลุงเซี่ย มากินข้าวเถอะจ้ะ!” เสียงหวานใสของลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น
เซี่ยคุนกระโดดลงมาจากต้นไม้
“ข้าจะแต่งงานกับอันอวี้ที่อยู่ข้างบ้าน”
มู่ซืออวี่ที่กำลังคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลันทำเนื้อร่วงจากตะเกียบทันที
นางมองเซี่ยคุนด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกันนัก
“ข้าเห็นท่านปกปิดความรู้สึกอยู่เช่นนี้ทุกวัน นึกว่าสักวันคงไปเป็นพระเสียแล้ว แต่สุดท้ายก็รู้จักมีความปรารถนาบ้างแล้ว ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้จริง ๆ”
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
เซี่ยคุน “…”
ลู่จื่ออวิ๋นปรบมือ “ดีเลย ๆ ข้าชอบน้าอวี้”
“กินข้าว ๆ” มู่ซืออวี่บอกทุกคน
เซี่ยคุนขมวดคิ้วมองมู่ซืออวี่ “เจ้ากล่าวกับข้าสักคำเถิด”
“คำใด?” มู่ซืออวี่แทะซี่โครงหมูขณะถาม
“พูดว่าได้หรือไม่ได้”
มู่ซืออวี่ปรายตามองเขา “ข้าไม่อยากพูดตอนทานข้าว”
ปกติหมอนี่มักจะไม่สนใจผู้อื่น ตอนนี้ให้เขาได้ลิ้มรสการถูกผู้อื่นไม่สนใจเสียบ้างเถอะ
“พี่คุน ทานข้าวก่อนเถอะ” จือเชียนดึงแขนเซี่ยคุนให้นั่งลง
เซี่ยคุนนั่งลงข้าง ๆ จือเชียน เห็นมู่ซืออวี่ค่อย ๆ ทาน แต่ไม่ตอบรับคำเขาเสียที ชายหนุ่มจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ปกติเห็นนางมักจะทานข้าวไปพูดคุยไป นางมีกฎไม่พูดคุยระหว่างทานข้าวเมื่อไหร่กัน? เห็นได้ชัดว่าวันนี้จงใจ
มู่ซืออวี่จงใจทำจริง ๆ นางจงใจให้เขากระวนกระวาย และจงใจให้เขาโมโหอีกด้วย
เซี่ยคุนรีบยัดข้าวคำโต ๆ เข้าปาก ทานข้าวหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็นั่งอยู่ตรงข้ามมู่ซืออวี่ มองนางทานอยู่เงียบ ๆ
ปกติมู่ซืออวี่ทานเสร็จในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ทว่าวันนี้เกือบจะใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม
“อิ่มมากเลย!” มู่ซืออวี่ลูบท้อง “หากตอนนี้มีคนล้างถ้วยชามให้แล้วละก็ ข้าอาจจะมีเวลาคิดเรื่องบางเรื่องดูก็ได้”
“ข้าเอง…” จือเชียนกำลังเตรียมเก็บจาน ทว่ามีใครบางคนเข้ามาแย่งหน้าที่ไปก่อน
เด็กหนุ่มมองการเคลื่อนไหวของเซี่ยคุนอย่างประหลาดใจ
เซี่ยคุนเดินออกมาหลังจากล้างจานเสร็จสิ้นแล้ว มือเขายังไม่ทันแห้ง มู่ซืออวี่ก็ยื่นไม้กวาดให้เขา
เขาจึงกวาดพื้นลานบ้านต่อ จากนั้นก็ผ่าฟืน แล้วไปตักน้ำ…
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ ก็จิบชาไปได้หลายถ้วยแล้ว
“ยังต้องทำอะไรอีก?” เซี่ยคุนสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
มู่ซืออวี่ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “นั่งลงจิบชาสักถ้วยสิ”
เซี่ยคุนจึงนั่งลง
“เหตุใดจู่ ๆ ก็อยากแต่งงานขึ้นมา? ข้าเห็นท่านไม่เคยสนใจสิ่งใด ไม่เหมือนคนที่พร้อมจะแบกรับหน้าที่รับผิดชอบครอบครัวเลยนี่นา”
“ก่อนจะถึงวันนี้ ข้าก็ไม่เคยคิดจะแต่งงาน” เซี่ยคุนก้มหน้าลง “แต่สิ่งที่ต้องมาถึง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้”
“เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“ข้าอยากดูแลแม่นางอันอวี้” เซี่ยคุนเอ่ยเรียบ ๆ “เรื่องอื่นข้าไม่สามารถรับรองได้ แต่ข้าสามารถปกป้องไม่ให้นางถูกคนอื่นรังแกได้”
“ท่านพึงใจนางหรือไม่?”
“พึงใจ?”
“ใช่ พึงใจ”
มู่ซืออวี่จ้องมองเซี่ยคุนแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ในสายตาของข้า การแต่งงานเป็นเรื่องน่ากลัว มันเป็นบทพิสูจน์ของคนสองคนที่พึงใจกัน หากไม่ชอบนาง ก็อย่าได้ทำให้แม่นางน้อยผู้นั้นเสียเวลา หากแต่งงานไปแล้วจริง ๆ ไม่อาจทำให้แม่นางน้อยคนนั้นต้องมากังวลกับข้อดีข้อเสีย ต้องทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง มีแค่ความรักเท่านั้นแหละที่จะทำให้นางมีความสุขได้”
“ข้าไม่รู้” เซี่ยคุนจนปัญญา
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องแต่งแล้ว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ยุคนี้ไม่ยุติธรรมต่อสตรี หากแต่งไปแล้ว ท่านก็เปรียบเป็นสวรรค์ของนาง หากท่านไม่แน่ใจว่าชอบพอนางหรือไม่ เช่นนั้นก็อย่าแต่งกับนาง รอท่านคิดให้ตกแล้วค่อยพูดกันใหม่!”
“แต่…”
“ไม่มีแต่…”
มู่ซืออวี่ไม่ชอบการแต่งงานที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้เป็นที่สุด
“วันนี้มีคนรังแกแม่นางอันอวี้ หากไม่ใช่เพราะข้าไปทัน เกรงว่านางคงต้องถูกเหยียดหยามแล้ว ถึงแม้อวี้ซื่อจะเป็นแม่แท้ ๆ ของนาง แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ พี่ชายของนางดีก็จริง แต่เขาไม่มีเวลามาดูแลนาง แม่นางที่อ่อนแอคนหนึ่งเช่นนาง หากไม่มีคนคอยปกป้องดูแล เรื่องแบบนี้ย่อมเกิดขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย”
เป็นครั้งแรกที่มู่ซืออวี่ได้ยินคำพูดยืดยาวเช่นนี้ออกจากปากเซี่ยคุน
เมื่อรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับอันอวี้ นางก็รู้สึกปวดใจ และเริ่มลังเลใจขึ้นมา
“เช่นนี้เถอะ พี่ใหญ่เซี่ย ท่านไปคิดดูก่อนหนึ่งคืน หากพรุ่งนี้ท่านตัดสินใจได้แล้ว พวกเราค่อยมาคุยกันอีกที คืนเดียวก็เพียงพอแล้วที่ท่านจะได้เข้าใจหัวใจตัวเอง ท่านคิดดูว่าจะปฏิบัติเช่นไรกับอันอวี้หากแต่งงานกับนางไปแล้ว”
“ได้”
“พี่สะใภ้ ข้าก็มีเรื่องจะพูดเช่นกัน” ลู่เซวียนเอ่ยขึ้น
“เจ้าก็มีแม่นางที่พึงใจแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ล้อ
“จะไปมีได้อย่างไร? อย่าพูดจาไร้สาระ ข้าอยากเข้าสอบระดับฝู่ซื่อปีนี้” ลู่เซวียนกล่าว
“ได้” มู่ซืออวี่ตอบรับทันที
“ไม่คัดค้านข้าหรือ? เจ้าคิดว่าข้าทำได้หรือ?” ลู่เซวียนไม่ค่อยมั่นใจนัก
“น้องสามี ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วก็ต้องไปต่อ ไม่ใช่เอาแต่กลัวหัวหด พี่ใหญ่ของเจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้” มู่ซืออวี่ให้กำลังใจ “จะได้วัดระดับความยากให้หลานชายของเจ้ากับน้องชายของข้าพอดี ต่อไปหากพวกเขาสอบขุนนางจะได้พอรู้บ้าง”
“ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อพวกเขา ไม่ได้มั่นใจในตัวข้าจริง ๆ” ลู่เซวียนไม่พอใจ “ข้าคิดว่าเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าเสียอีก!”
“ข้าเชื่อมั่นในตัวทุกคนเหมือนกันนั่นแหละ ข้าไม่อยากกดดันเจ้าหรอก” มู่ซืออวี่พูดต่อ “เอาล่ะ กลับห้องไปอ่านหนังสือเถอะ! ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”